คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4876-4878/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ได้อ้างตนเองเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์นั้นเป็นเรื่องสิทธิของจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การพึงกระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 199วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอันมีเจตนารมณ์เพื่อให้จำเลยมีโอกาสอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานหลักฐานโจทก์เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เพราะจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามปลูกเรือนคนละ 1 หลังในที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามและบริวารรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินโจทก์และห้ามจำเลยทั้งสามกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง หากจำเลยทั้งสามไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยทั้งสามออกค่าใช้จ่าย

จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนโรงเรือน ถ้าไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อเองได้โดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามผู้อาศัยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทจำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ จึงมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าหรืออาศัย ที่จำเลยทั้งสามมาศาลในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นอ้างตนเองเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์นั้นเป็นเพียงการดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะที่จำเลยทั้งสามเป็นพยานเท่านั้น ไม่เป็นการตั้งประเด็นโต้เถียงในเรื่องดังกล่าว คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสามมิได้อาศัยโจทก์ ฟ้องเกินกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองและจำเลยทั้งสามไม่จงใจขาดนัดนั้นเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นและที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้นเป็นการอุทธรณ์ข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามมาตรา 225 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและปัญหาดังกล่าวไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือต้องด้วยข้อยกเว้นข้ออื่นของบทกฎหมายมาตรานี้ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยของจำเลยทั้งสาม พิพากษายกอุทธรณ์

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยฎีกาว่าการที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ได้ถามค้านพยานโจทก์และอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยทั้งสามได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองและทำประโยชน์มากว่า 30 ปีแล้ว เป็นการต่อสู้คดีมีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยได้และเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองบัญญัติว่า “ถ้าการขาดนัดนั้นเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรแล้ว ให้ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินคดีต่อไปโดยไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ในกรณีเช่นนี้จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์ได้ แต่หาอาจเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่” สำหรับคำให้การนั้น มาตรา 1(4) บัญญัติว่า “คำให้การ” หมายความว่ากระบวนพิจารณาใด ๆ ซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งยกข้อต่อสู้เป็นข้อแก้คำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ นอกจากคำแถลงการณ์และมาตรา 1(5)บัญญัติว่า “คำคู่ความ” หมายความว่า คำฟ้อง คำให้การ หรือคำร้องทั้งหลายที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดี จึงไม่มีการตั้งประเด็นต่อสู้คดีในเรื่องกรรมสิทธิ์หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 224 ทั้งการที่จำเลยทั้งสามอ้างตนเองเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์นั้นเป็นเรื่องสิทธิของจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การจึงกระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 199 วรรคสอง อันมีเจตนารมณ์เพื่อให้จำเลยมีโอกาสอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานหลักฐาน โจทก์เท่านั้น ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share