คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2579/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ซึ่งเคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่1 แต่ได้พ้นจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแล้ว ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) กับธนาคารโจทก์ ในนามของห้างจำเลยที่ 1และประทับตราชื่อห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 3 กระทำแทนห้างจำเลยที่ 1 มิใช่กระทำเป็นส่วนตัวและ ห้างจำเลยที่ 1ก็ทราบดีถึงกิจการที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำ และยอมรับเอาเป็นกิจการที่ทำแทนห้างจำเลยที่ 1 ดังนี้ ถือได้ว่าห้างจำเลยที่ 1 ได้เชิดหรือ รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 แสดงออกเป็นตัวแทนของตน มีอำนาจกระทำกิจการดังกล่าวแทนห้าง ห้างจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อธนาคารโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า แม้จำเลยที่ 3 จะพ้นจากหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แต่ก็คงกระทำแทนห้างจำเลยที่ 1 และเพื่อประโยชน์ของห้างจำเลยที่ 1 ตลอดมา เท่ากับโจทก์ตั้งประเด็นไว้ว่า ห้างจำเลยที่ 1เชิดหรือรู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 แสดงออกเป็นตัวแทนของห้างจำเลยที่ 1 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ห้างจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล เดิมมีจำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นหุ้นส่วน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมถอนจำเลยที่ ๓ ออกจากการเป็นหุ้นส่วนและพ้นจากการเป็นผู้จัดการ และจดทะเบียนจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทนจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์อยู่หลายยอดหลายจำนวน โดยเป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน บัญชีเลขที่ ๖๙๑๐ รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๑ อยู่เป็นจำนวนเงิน ๒๓๒,๖๘๘.๗๘ บาทเป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ ๘๗๘๔รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๑ เป็นเงิน ๗๕๔,๔๙๓.๙๐ บาท เป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์จากการเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตคิดเป็นจำนวนหนี้รวมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๑ เป็นเงิน ๑๑๙,๗๔๑.๙๔ บาท และเป็นหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ (ทรัสตรีซีท) อีก ๕ ราย คิดจำนวนหนี้รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๑รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๗๔,๐๗๖.๒๐ บาท รวมหนี้ทั้งหมดของจำเลยที่ ๑ทั้งหมดคิดถึงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๑ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๖๘๑,๐๐๐.๘๒ บาทเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ จำเลยที่ ๕ ได้ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ ๑ เป็นจำนวนเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๕ ยอมเข้ารับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ธนาคารโจทก์ต้องเสียไปในการเรียกร้องทวงถามด้วย และในวันเดียวกันนี้เอง จำเลยที่ ๕ ได้ทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินมีโฉนด ๑ แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับธนาคารโจทก์เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ต่อธนาคารโจทก์ โดยจำเลยที่ ๕ ยอมรับผิดในยอดหนี้ที่จำเลยที่ ๑ เบิกไปจากธนาคาร เกินกว่ายอดเงินในบัญชีในขณะนั้นหรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้ากับค่าอุปกรณ์ คือ ดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง กับให้มีผลผูกพันหนี้สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่ต่อธนาคารโจทก์อีกด้วย หากบังคับจำนองไม่พอชำระหนี้ยอมรับผิดจนครบหนี้ของจำเลยที่ ๑ ครบกำหนดชำระนานแล้ว จำเลยทั้งห้าผิดนัดผิดสัญญา โจทก์จึงได้ทวงถามจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และแจ้งบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ ๕ แล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้ไถ่จำนองกับธนาคารโจทก์เป็นเงิน ๑,๖๘๑,๐๐๐.๘๒ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีทบต้นเป็นรายเดือนในต้นเงินจำนวน๙๘๗,๑๘๒.๖๘ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีของต้นเงินจำนวน๖๙๓,๘๑๘.๑๔ บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ไถ่จำนองเสร็จ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด หากไม่พอก็ให้ยึดทรัพย์อื่น ๆ ของจำเลยมาชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ยื่นคำให้การต่อสู้คดีหลายประการ ส่วนจำเลยที่ ๕ ให้การว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้และจำนองที่ดินเป็นประกันจำเลยที่ ๑ จะได้กู้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ ๘๗๘๔ เท่านั้น หนี้อื่น ๆ นอกจากนี้จำเลยไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันหรือจำนองเป็นประกัน จำเลยเพิ่งทราบเมื่อถูกฟ้องคดีนี้ว่า จำเลยที่ ๑ หาได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ แต่ผู้กู้เป็นจำเลยที่ ๓ ซึ่งไม่ได้เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจหรือมอบหมายใด ๆ ให้กระทำการแทนจำเลยที่ ๑ เหตุที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกันหรือจำนองที่ดินเป็นประกันเพราะสำคัญผิดว่าจำเลยที่ ๑ ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ ๘๗๘๔ และทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ โดยจำเลยที่ ๓ กับโจทก์สมคบกันปกปิดความจริงหลอกลวงจำเลยโดยเจตนาไม่สุจริต หลักฐานหนังสือสัญญาที่จำเลยที่ ๑ กระทำกับโจทก์จึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๑ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์จึงไม่อาจมีขึ้นได้ตามกฎหมาย และไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๕ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิด หากจำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญา ก็มีกำหนดระยะเวลาค้ำประกันตั้งแต่วันที่ ๒กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๑๐ เท่านั้น หนี้ที่เกิดนอกเหนือระยะเวลาดังกล่าว จำเลยหาต้องรับผิดไม่ ฟ้องบรรยายมาคลุม ๆ ไม่ส่งสำเนาเช็คที่โจทก์อ้างตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมและโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓และที่ ๔ คงเหลือที่ต้องพิจารณาต่อมาเฉพาะจำเลยที่ ๕ ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน ๗๐๙,๕๓๒.๑๖ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีทบต้นจากวันที่๑๖ มีนาคม ๒๕๑๑ ถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๑๑ ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีในจำนวนเงินหลังวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๑๑ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ใช้เงินตามสัญญาเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตจำนวนเงิน ๑๑๙,๗๔๑.๙๔บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีจากวันฟ้อง เงินตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อจำนวน ๕๗๔,๐๗๖.๒๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีจากวันฟ้องเป็นต้นไปไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๕ รับผิดใช้เงินแก่โจทก์๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ตามสัญญาจำนองจากวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๑๑ อันเป็นวันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระจนครบ
จำเลยที่ ๕ ฎีกาต่อมา
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๕ มีว่า การที่จำเลยที่ ๓ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๘๗๘๔ และทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท)ก่อให้เกิดหนี้ตามฟ้องนั้น จำเลยที่ ๓ ได้ทำไปหลังจากที่จำเลยที่ ๓ พ้นจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ ๑ แล้วจะผูกพันห้างจำเลยที่ ๑ หรือไม่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว แม้เมื่อจำเลยที่ ๓ ก่อหนี้ขึ้นในระหว่างเวลาที่มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ ๑ แล้วก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์คำขอเปิดบัญชีเลขที่ ๘๗๘๔ เอกสาร จ.๘ ปรากฏว่าขอเปิดในนามห้างจำเลยที่ ๑และประทับตราชื่อห้างจำเลยที่ ๑ สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารหมาย จ.๙ลงชื่อห้างจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้และประทับตราชื่อห้างจำเลยที่ ๑ หนังสือขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเอกสารหมาย จ.๑๐ ลงชื่อห้างจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขอเปิดและประทับตราชื่อห้างจำเลยที่ ๑ หนังสือรับมอบสินค้าเชื่อ(ทรัสต์รีซีท)เอกสารหมาย จ.๑๓, จ.๑๔, จ.๑๕, จ.๑๖ และ จ.๑๗ ลงชื่อห้างจำเลยที่ ๑และประทับตราชื่อห้างจำเลยที่ ๑ ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ ๓ กระทำแทนห้างจำเลยที่ ๑ ทั้งสิ้น มิใช่จำเลยที่ ๓ ทำเป็นส่วนตัว เมื่อพิเคราะห์ต่อไปว่าหลังจากที่จำเลยที่ ๓ ขอเปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๘๗๘๔ ห้างจำเลยที่ ๑ได้สั่งจ่ายเบิกเงินจากธนาคารโจทก์เพื่อประโยชน์ของห้างจำเลยที่ ๑อยู่ตลอดมา มิได้ทักท้วงหรือปฏิเสธไม่ยอมรับการทำแทนของจำเลยที่ ๓ปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารว่า ธนาคารโจทก์ได้แจ้งยอดหนี้ให้ห้างจำเลยที่ ๑ ทราบทุกสิ้นเดือน โดยนายกมลชัย แก้วอำไพ พยานโจทก์เจ้าหน้าที่ของธนาคารโจทก์เป็นผู้ส่งหนังสือแจ้งให้ทราบและเจ้าหน้าที่ห้างจำเลยที่ ๑ รับไว้แล้วตามเอกสารหมาย จ.๑๐๓ ถึง จ.๑๑๙ แสดงอย่างชัดแจ้งว่าห้างจำเลยที่ ๑ ทราบดีว่ากิจการที่จำเลยที่ ๓ ทำไว้กับธนาคารโจทก์นั้น ห้างจำเลยที่ ๑ ยอมรับเอาว่าเป็นกิจการที่ทำแทนห้างจำเลยที่ ๑ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ห้างจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๓ หุ้นส่วนผู้จัดการได้ขอเปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๖๙๑๐ กับธนาคารโจทก์มาแล้ว และได้ทำการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารโจทก์ตลอดมา เมื่อมีการเปลี่ยนตัวหุ้นส่วนผู้จัดการธนาคารโจทก์มิได้รับทราบจากห้างจำเลยที่ ๑ ธนาคารโจทก์คงถือปฏิบัติตามเดิมโดยเข้าใจโดยสุจริตว่า จำเลยที่ ๓ ยังคงเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ ๑ อยู่อย่างเดิม ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังวินิจฉัยมาฟังได้ว่า ห้างจำเลยที่ ๑ ได้เชิดหรือรู้อยู่แล้ว ยอมให้จำเลยที่ ๓ แสดงออกเป็นตัวแทนของตน มีอำนาจกระทำกิจการดังกล่าวแทนห้างจำเลยที่ ๑ ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑
ที่จำเลยที่ ๕ ฎีกาว่า คดีไม่มีประเด็นเรื่องตัวแทนเชิด ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่า แม้จำเลยที่ ๓ จะพ้นจากหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ ๑ แต่ก็คงกระทำการแทนห้างจำเลยที่ ๑ และเพื่อประโยชน์ของห้างจำเลยที่ ๑ ตลอดมา เท่ากับโจทก์ตั้งประเด็นไว้ว่าห้างจำเลยที่ ๑ เชิดหรือรู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ ๓ แสดงออกเป็นตัวแทนของห้างจำเลยที่ ๑ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าห้างจำเลยที่ ๑ เชิดจำเลยที่ ๓ เป็นตัวแทน จึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
พิพากษายืน

Share