คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5324/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การควบบริษัทจำกัดเข้ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1243 มีผลให้บริษัทใหม่ได้ไปทั้งสิทธิและความรับผิดบรรดามีอยู่แก่บริษัทเดิมอันได้มาควบเข้ากันเท่านั้น แต่การควบบริษัทจำกัดเข้ากันมิใช่เป็นเรื่องการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ทั้งการควบบริษัทจำกัดเข้ากัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1240 ก็บัญญัติเฉพาะแต่เจ้าหนี้ของบริษัทเท่านั้นที่บริษัทจะต้องบอกกล่าวให้ทราบและให้โอกาสคัดค้านการควบบริษัท แต่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดบังคับว่าจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นลูกหนี้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน1,676,205.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวนำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ หากขายได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่นำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการที่โจทก์ควบกิจการของบริษัทหลายบริษัทเข้าด้วยกันนั้น โจทก์ไม่ได้ทำเป็นหนังสือบอกกล่าวการโอนหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ให้เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ทราบเนื่องจากจำเลยทั้งสี่เป็นลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนไฟแน้นเชี่ยลทรัสต์ จำกัด กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนานันต์ จำกัด จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระตามอัตราในรายละเอียดเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ยเอกสารหมาย จ.27 ย้อนหลังไป 5 ปี นับแต่วันฟ้องกับให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9166และ 23072 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดจนครบ

โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,561,712.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน1,000,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากโจทก์จะบังคับจำนอง ให้บังคับจำนองเพื่อชำระในส่วนของดอกเบี้ยที่ค้างชำระตามอัตราในรายละเอียดเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ยเอกสารหมาย จ.27 ย้อนหลังไป 5 ปี นับแต่วันฟ้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมโจทก์มีชื่อว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ธนานันต์ จำกัด ตั้งขึ้นจากการควบบริษัทเงินทุนไฟแน้นเชี่ยลทรัสต์ จำกัด กับบริษัทจำกัดอีก 5 บริษัทเข้ากัน แล้วต่อมาจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทโจทก์ในปัจจุบัน จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คจำนวนเงิน 1,000,000 บาทเศษ โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ดังกล่าว โดยทำสัญญาขณะโจทก์ยังเป็นบริษัทเงินทุนไฟแน้นเชี่ยลทรัสต์ จำกัด และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนานันต์จำกัด และขณะนำเช็คพิพาทมาขายลดนั้น โจทก์ใช้ชื่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนานันต์ จำกัด

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การควบบริษัทจำกัดเข้ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1243 มีผลให้บริษัทใหม่ได้ไปทั้งสิทธิและความรับผิดบรรดามีอยู่แก่บริษัทเดิมอันได้มาควบเข้ากันเท่านั้น แต่การควบบริษัทจำกัดเข้ากันมิใช่เป็นเรื่องการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ซึ่งต้องบังคับตามบทบัญญัติเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 และมาตรา 306ดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อ้าง เพราะเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ต่างลักษณะไม่เกี่ยวข้องกัน โจทก์หาจำต้องทำหนังสือหรือสัญญาใด ๆตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ ทั้งการควบบริษัทจำกัดเข้ากันของโจทก์นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1240 ก็บัญญัติเฉพาะแต่เจ้าหนี้ของบริษัทเท่านั้น ที่บริษัทจะต้องบอกกล่าวให้ทราบและให้โอกาสคัดค้านการควบบริษัทแต่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดบังคับว่าจะต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ กรณีไม่มีเหตุทำให้นิติสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายระงับลง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง”

พิพากษายืน

Share