แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนด เลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ล. ย. และ ป. ต่อมา ย. และ ป.ยกที่ดินเฉพาะ ส่วนของตน ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีก่อนเป็น 2 ประการ คือคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์ภายในที่ดินโฉนด เลขที่ 5072ด้วย ประการหนึ่งและคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองโดย สงบ เปิดเผย ด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อ กันเกิน 10 ปีแล้ว อีกประการหนึ่งในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ได้ความว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดย การแบ่งแยกการครอบครองแล้ว ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการแรกเป็นความเท็จและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อนและคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของ ย. และ ป. อย่างไร คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการที่ 2 จึงไม่กระทบกระเทือนถึง สิทธิของโจทก์ และคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้ รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของ ย. และ ป. นั้น เป็นการนำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่บางส่วนไม่เป็นเท็จบางส่วนไม่ทำให้โจทก์เสียหายเช่นนี้คดีโจทก์จึงไม่มีมูล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า คดีเดิมจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ นางล้วน บุญยจิตร์นางสาวยวง นาคบุญหรือนากบุญ และนางไปล่ นาคบุญหรือนากบุญนางสาวยวงและนายไปล่ได้ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนเนื้อที่ 35 ไร่1 งาน 28 ตารางวา ให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ในคดีเดิมนั้นจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จต่อศาลว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 นางสาวยวง และนายไปล่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ประการหนึ่ง และนางสาวยวง และนายไปล่ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วอีกประการหนึ่ง คำเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้ศาลเชื่อและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนของนางสาวยวงและนายไปล่ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ตามทางไต่สวนได้ความว่าเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2524 จำเลยทั้งสองได้เบิกความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 160/2524 (หมายเลขแดงที่ 270/2524) ของศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5072ตำบลโพพระ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 79 ไร่ มีชื่อนางล้วน โจทก์ นางสาวยวงและนายไปล่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นางสาวยวงและนายไปล่ได้ยกที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อ30 ปีมาแล้ว จำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองมาเกินกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงนางสาวยวงและนายไปล่ไม่เคยยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 เลย จำเลยที่ 1 ก็ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำนาแปลงดังกล่าว 10 กว่าปี ความจริงจำเลยที่ 1ไม่เคยทำนาแปลงดังกล่าว การเบิกความดังกล่าวของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสำคัญในคดีทำให้ศาลหลงเชื่อและมีคำสั่งว่า ที่ดินส่วนของนางสาวยวงและนายไปล่ตกเป็นของจำเลยที่ 1เจ้าพนักงานที่ดินได้ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนนางสาวยวงและนายไปล่ คำเบิกความของจำเลยทั้งสองปรากฏอยู่ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 270/2524 ของศาลชั้นต้น
ปัญหาวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์มีมูลที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จนั้นแยกได้เป็นสองประการคือ คำเบิกความที่ว่า นางสาวยวงและนายไปล่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 ตำบลโพพระ อำเภอเมืองจังหวัดเพชรบุรี ประการหนึ่งซึ่งโจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นเท็จ เพราะนางสาวยวงและนายไปล่ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว แต่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์เบิกความว่า นางสาวยวงและนายไปล่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยแบ่งแยกการครอบครองและตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 5072 ที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาล ก็ปรากฏว่าในวันที่ 5 มิถุนายน 2524 อันเป็นวันที่จำเลยทั้งสองเบิกความนั้นมีชื่อนางสาวยวงและนายไปล่อยู่ในโฉนดที่ดินดังกล่าว ข้อเท็จจริงจากการนำสืบในชั้นไต่สวนของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้เป็นเท็จ อีกประการหนึ่งที่โจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จคือคำเบิกความที่ว่านางสาวยวงและนายไปล่ได้ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 1 ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกิน 10 ปี ในคดีที่จำเลยทั้งสองเบิกความนั้นโจทก์มิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย และคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้ก็เพียงเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินของนางสาวยวงและนายไปล่มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนของโจทก์ ทั้งโจทก์ก็เบิกความไว้แล้วว่า ที่ดินที่พิพาทได้แบ่งแยกการครอบครองเรียบร้อยแล้วคำเบิกความของจำเลยทั้งสองส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินของนางสาวยวงและนายไปล่จะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่แต่อย่างใด โจทก์มิได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องเลยว่า โจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของนางสาวยวงและนายไปล่อย่างไรโจทก์ได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินของคนทั้งสองหรือไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์นำสืบมาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของนางสาวยวงและนายไปล่นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้อง จึงนำมาพิจารณาประกอบคำฟ้องไม่ได้ ในเมื่อคำเบิกความของจำเลยทั้งสองบางส่วนไม่เป็นเท็จและบางส่วนไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเช่นนี้ คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณา ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.