คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดิน ส.ค. 1 ที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง โดยบรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์มีอาณาเขตทิศไหนจดที่ดินของใคร และมีพื้นที่เท่าไร โจทก์ได้ครอบครองมาตลอด เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนที่ว่าอาณาเขตที่ดินของโจทก์ด้านไหนมีความกว้างยาวเท่าไร และโจทก์ได้ที่ดินมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง การที่จำเลยคัดค้านการรังวัดที่พิพาทของโจทก์ และห้ามโจทก์ถมที่พิพาทเป็นแต่เพียงการโต้แย้ง สิทธิของโจทก์เท่านั้น เมื่อจำเลยยังไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาท จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครอง และต่อมาแม้จำเลยจะได้ล้อมรั้วและปลูกถั่วในที่ พิพาทอันเป็นการแย่งการครอบครองก็ตาม เมื่อโจทก์ฟ้องคดีห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องในที่พิพาทยังไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดิน ส.ค.1เลขที่ 95 หมู่ที่ 7 ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีเนื้อที่ 2 ไร่ อาณาเขตทิศเหนือจดที่ดินนายยิน ทิศใต้จดทางสาธารณะทิศตะวันออกจดที่ดินนายวงศ์ ทิศตะวันตกจดที่ดินนายเถี่ยม โจทก์ได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมา จนกระทั่งเมื่อเดือนกรกฎาคม2526 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดจำเลยทั้งสี่ได้ไปคัดค้าน ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินแบบแจ้งการครอบครองเลขที่ 95 หมู่ที่ 7 (เดิมหมู่ที่ 9) ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 2 ไร่เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสี่เกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ได้ครอบครองทำนากุ้งมาเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยไม่บรรยายว่าที่พิพาทมีอาณาเขตกว้างยาวเพียงไรทำกันตั้งแต่ปี พ.ศ. ใด อันจะทำให้จำเลยเข้าใจฟ้องโจทก์ได้ดีโจทก์เคยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่พิพาทตั้งแต่ปีพ.ศ. 2523 จำเลยทั้งสี่ได้คัดค้าน จำเลยทั้งสี่ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกที่ดินคืนไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาท ส.ค.1 เลขที่ 95 หมู่ที่ 7(เดิมหมู่ที่ 9) ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่2 ไร่เศษ อาณาเขตทิศเหนือจดที่ดินนายยิน ทิศใต้จดทางเกวียนทิศตะวันออกจดที่ดินนายวงศ์ ทิศตะวันตกจดที่ดินนายเถี่ยมเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสี่เกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 95 หมู่ที่ 7ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มีอาณาเขตทิศเหนือจดที่ดินนายยิน ทิศใต้จดทางเกวียน ทิศตะวันออกจดที่ดินนายวงศ์ ทิศตะวันตกจดที่ดินนายเถี่ยม เนื้อที่ 2 ไร่ โจทก์ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวนี้ตลอดมาจนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2526 โจทก์ได้นำช่างรังวัดของสำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีออกรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน จำเลยทั้งสี่ได้คัดค้านการรังวัดโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวนี้เลยขอให้ศาลพิพากษาที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสี่เข้าเกี่ยวข้องนั้น เห็นได้ว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์มีอาณาเขตทิศไหนจดที่ดินของใครและมีเนื้อที่เท่าไร โจทก์ได้ครอบครองตลอดมาเช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วส่วนที่ว่าอาณาเขตที่ดินของโจทก์ด้านไหนมีความกว้างยาวเท่าไรและโจทก์ได้ที่ดินมาตั้งแต่เมื่อไรนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น ฎีกาข้อต่อไปมีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่… ฟังได้ว่าที่พิพาทเดิมเป็นของบิดาโจทก์ และบิดาโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้โจทก์จริง เมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ การยกให้จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ได้ความจากโจทก์ต่อไปว่าภายหลังจากที่โจทก์ได้รับการยกให้ที่พิพาทจากบิดาแล้ว โจทก์จะถมที่พิพาทเพื่อปลูกบ้านเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2526 จำเลยไม่ให้ถมโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่พิพาท จำเลยที่ 1 กับพวกคัดค้านอีก นายณัฐพงศ์ ขาวทอง ช่างรังวัดได้ไปแจ้งความไว้ ซึ่งนายณัฐพงศ์ได้มาเบิกความยืนยันว่าได้แจ้งความไว้จริง การที่จำเลยคัดค้านการรังวัดของโจทก์และห้ามโจทก์ถมที่พิพาทดังกล่าว เป็นแต่เพียงการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาท จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ในวันดังกล่าว จำเลยที่ 1 เพิ่งล้อมรั้วในที่พิพาท และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปลูกถั่วในที่พิพาท เมื่อวันที่26 กันยายน 2526 โจทก์ฟ้องคดีห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องในที่พิพาทเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2527 ยังไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share