คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5771/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สมาคมโจทก์มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อเผยแพร่ศาสนาอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เรื่องควบคุมสมาคมและองค์การต่าง ๆ การที่สมาคมโจทก์ไม่แจ้งจำนวนสมาชิกทุกประเภทและรายชื่อกรรมการ ไม่รายงานกิจการที่สมาคมได้ดำเนินการไปต่อจำเลยที่ 1 อันเป็นการขัดต่อข้อบังคับดังกล่าวไม่แจ้งจำเลยที่ 1 ภายในกำหนดว่าประสงค์จะดำเนินกิจการอีกต่อไปทั้งสมาชิกของสมาคมโจทก์มีความแตกแยกเป็นหลายฝ่ายถึงขั้นแจ้งความจับกุมสมาชิกซึ่งกันและกัน นำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลหลายคดี อันเป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง และขัดต่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นเป็นที่เสียหายแก่สมาคมโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลสมาคมโจทก์ย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตที่ให้ไว้แก่สมาคมโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการละเมิดโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ สมคบกับสมาชิกของสมาคมโจทก์ที่ไม่ใช่กรรมการหรือผู้ดำเนินงาน และไม่ใช่ผู้ที่สมาคมมอบหมายบางคนออกคำสั่งที่ ๙๒/๒๕๒๒ เพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งสมาคมโจทก์เพื่อแกล้งโจทก์ เป็นการละเมิดโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนเสีย ให้สมาคมโจทก์ดำเนินกิจการต่อไปในนามเดิม และให้จำเลยที่ ๒ รับจดทะเบียนสมาคมโจทก์ใหม่โดยใช้ชื่อเดิม
จำเลยทั้งสองให้การว่า เหตุที่มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของโจทก์เพราะโจทก์ ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติและสมาชิกสมาคมโจทก์แตกความสามัคคี ก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองจึงไม่เป็นการละเมิดโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงยุติว่า สมาคมโจทก์มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อเผยแพร่ศาสนา อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๘๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๘๖การดำเนินกิจการของสมาคมโจทก์เดิมอยู่ในความควบคุมของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ต่อมามีการถอน มาเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แล้วโอนมาอยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลยที่ ๑ สมาคมโจทก์จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เรื่อง ควบคุมสมาคมและองค์การต่าง ๆ ตามข้อ ๕ ข้อ ๖ข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ เอกสารหมาย ล.๕ คือ ต้องแจ้งจำนวนสมาชิกทุกประเภทให้ทราบทุกระยะ ๑๒ เดือน ต้องแจ้งชื่อกรรมการใหม่ภายใน ๗ วัน ต้องส่งหัวข้อการประชุมคณะกรรมการภายใน ๑๕ วันนับแต่วันประชุม ต้องส่งรายงานประจำปีแสดงกิจการที่ ได้กระทำทุกปีต้องแจ้งให้ทราบถึงการจุดประชุมใหญ่สมาชิกประจำปี หรือการประชุมวิสามัญล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน และต้องแจ้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อบังคับภายใน ๑๔ วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมได้ลงมติ ปรากฏว่าสมาคมโจทก์ไม่เคยแจ้งจำนวนสมาชิกทุกประเภทกับรายชื่อกรรมการทั้งไม่เคยรายงานกิจการที่สมาคมได้ดำเนินไปให้จำเลยที่ ๑ ทราบแต่อย่างใด อันเป็นการขัดต่อข้อบังคับของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติดังกล่าว ต่อมาวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ ได้ประกาศให้สมาคม สโมสร และมูลนิธิ ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นทราบว่าหากประสงค์จะดำรงอยู่ต่อไปให้แจ้งต่อจำเลยที่ ๑ ทราบภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๑หากไม่แจ้งจะถือว่าไม่ประสงค์จะดำเนินกิจการต่อไป จำเลยที่ ๑จะพิจารณาเพิกถอนการอนุญาตที่ให้ไว้ โจทก์ได้ประกาศดังกล่าวและไม่แจ้งจำเลยที่ ๑ ภายในกำหนดว่าประสงค์จะดำเนินกิจการอีกต่อไปจริง ประกอบกับสมาชิก ของสมาคมโจทก์มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แตกแยกเป็นหลายฝ่าย เนื่องจากผลประโยชน์ของสมาคมมีมาก มีการแจ้งความจับกุมสมาชิกโจทก์ซึ่งกันและกัน และนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลหลายคดี อันเป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองและขัดต่อวัตถุประสงค์ของสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่ศาสนาเป็นที่เสียหายแก่สมาคมโจทก์ ในกรณีเช่นนี้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลสมาคมโจทก์ต่อจากสภาวัฒนธรรมแห่งชาติและสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรสั่งเพิกถอนการอนุญาตที่ให้ไว้แก่สมาคมโจทก์ได้ ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๘๕ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ กลั่นแกล้งมีคำสั่ง เพิกถอนการอนุญาตสมาคมโจทก์คำสั่งที่ ๙๒/๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๒ ของจำเลยที่ ๑ที่ให้เพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งสมาคมโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.๘หรือ ล.๑๔ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดโจทก์ไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งเพิกถอน ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share