แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
นายสิบทหารขับรถในราชการกองการขนส่ง กรมสารบรรณทหารบกกองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นนิติบุคคลสังกัดอยู่ในกระทรวงกลาโหม กระทรวงกลาโหมต้องรับผิดในการละเมิดของผู้ขับรถ
ฟ้องระบุเลขหมายรถยนต์ของโจทก์ กท.ฟ-0783 บางแห่งบรรยายเป็น 0738 จำเลยมิได้ต่อสู้ในคำให้การว่าฟ้องเคลือบคลุมไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ยกขึ้นฎีกาศาลไม่รับวินิจฉัย โจทก์นำสืบถึงรถหมายเลขที่ถูกต้องได้ ไม่แตกต่างจากฟ้อง
เอกสารเป็นจดหมายของโจทก์ถึงบริษัทผู้ให้เช่าซื้อว่าโจทก์ได้ชำระเงินครบและได้รับของแล้ว ไม่ใช่ตราสารใบรับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์อันต้องปิดอากรแสตมป์
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 3 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 63,151 บาท กับดอกเบี้ย ยกฟ้องจำเลยที่ 2 จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาประการแรกว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กท.ฟ-0783 ถูกชน ข้อเท็จจริงที่โจทก์สืบจึงแตกต่างกับฟ้อง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะฟ้องข้อ 1บรรยายว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียนกท.ฟ-0783 แต่ในฟ้องข้อ 2 กลับบรรยายว่ารถคันหมายเลขทะเบียนกท.ฟ-0738 ทำให้จำเลยเข้าใจว่ารถของโจทก์มีสองคัน ศาลฎีกาเห็นว่าในข้อที่อ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์ในฟ้องข้อ 1 และข้อ 2 ต่างกันนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ส่วนในข้อที่ว่าโจทก์นำสืบแตกต่างกับฟ้องนั้นเห็นว่าในฟ้องข้อ 1 โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียนกท.ฟ-0783 เมื่อตรวจดูเอกสารแนบท้ายฟ้องปรากฏว่ามีสำเนาภาพถ่ายอยู่ 4 ฉบับคือสำเนาภาพถ่ายรถของโจทก์ที่ถูกชน ถ่ายแสดงให้เห็นป้ายทะเบียนของรถคันนี้ได้ชัดเจนว่าหมายเลขทะเบียน กท.ฟ-0783 รวม 2 ภาพสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวแก่คดีของสถานีตำรวจนครบาลบางเขนที่บันทึกว่าเป็นรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.ฟ-0783 สำเนาหนังสือบอกกล่าวของทนายโจทก์ที่ระบุถึงรถของโจทก์ว่าหมายเลขทะเบียน กท.ฟ-0783และสำเนาใบเสนอราคาของอู่ซ่อมรถยนต์ก็ระบุว่าเป็นเลขทะเบียน กท.ฟ-0783เช่นเดียวกัน เอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย แต่ที่ในฟ้องข้อ 2 บรรยายเป็นว่ารถคันหมายเลขทะเบียน กท.ฟ-0738 นั้น เป็นที่เห็นได้ว่าพิมพ์ผิดไปโดยพิมพ์เลข 83 เป็น 38 เมื่ออ่านฟ้องทั้งหมดประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องรวม 4 ฉบับดังกล่าวแล้ว ฟังได้ว่ารถยนต์ของโจทก์นั้นเป็นรถคันหมายเลขทะเบียน กท.ฟ-0783 โจทก์จึงมิได้นำสืบแตกต่างจากฟ้องอย่างใด
จำเลยฎีกาประการที่สองว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์มิได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองหรือผู้เช่าซื้อรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนกท.ฟ-0783 ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำเบิกความของโจทก์ประกอบกับเอกสารหมาย จ.12 และทะเบียนรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.14 รับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากบริษัทค้าหลักทรัพย์และลงทุน จำกัด ตามสัญญาเช่าซื้อลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2518 และได้ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2519ซึ่งเป็นวันก่อนเกิดเหตุ เพียงแต่เพิ่งโอนทะเบียนกันในภายหลังเท่านั้นฉะนั้น ไม่ว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อหรือในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.12เป็นใบรับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ต้องปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ แต่โจทก์มิได้ปิด จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ดังนั้นจะรับฟังว่าโจทก์เป็นผู้เช่าซื้อและผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาได้ตรวจเอกสารหมาย จ.12 แล้วเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงจดหมายฉบับหนึ่งจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อมีถึงผู้จัดการบริษัท ค้าหลักทรัพย์และลงทุน จำกัด มีใจความว่าโจทก์ผู้เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัทดังกล่าวได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วและโจทก์ได้รับสิ่งของกับเอกสารต่าง ๆ อันเกี่ยวกับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปจากบริษัทแห่งนี้ถูกต้องเรียบร้อย ซึ่งมีรายการสิ่งของและเอกสารรวม 6 รายการด้วยกัน แล้วลงชื่อโจทก์ในช่องผู้เช่าซื้อในตอนท้ายของเอกสารฉบับนี้ เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นตราสารใบรับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์อันจะต้องปิดอากรแสตมป์ดังจำเลยฎีกา” ฯลฯ
“จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 3 คือกระทรวงกลาโหมไม่ควรต้องรับผิด เพราะรถยนต์เครื่องหมายทหารสามเหล่าทัพคันเกิดเหตุเป็นของกองบัญชาการทหารสูงสุดอันเป็นนิติบุคคลแยกออกจากจำเลยที่ 3 ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งพลขับรถยนต์ของกรมสารบรรณทหาร แม้ว่ากรมนี้ขึ้นต่อกองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นนิติบุคคลก็ตามแต่กองบัญชาการทหารสูงสุดก็สังกัดอยู่กับกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 ดังนั้นจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76”
พิพากษายืน