คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดาจำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองบานประตูของกลาง ได้อนุญาตให้จำเลยนำบานประตูดังกล่าว ไปติดตั้งที่บ้านหลังใหม่ของจำเลย แม้บานประตูดังกล่าวจะเป็นของผู้เสียหาย แต่เมื่อจำเลยเอาไปโดยความยินยอมอนุญาตของมารดา ซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้อื่น อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ การกระทำของ จำเลย จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักบานประตูไม้สัก 2 บานราคา 300 บาท ของจ่าสิบตำรวจแฉล้มไปโดยทุจริต เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยบานประตูไม้สักดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ลงโทษจำคุก ของกลางคืนเจ้าของ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมนายถี นางแช่มบิดามารดาของจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายของผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองบานประตูไม้สัก 2 บาน ของกลางอยู่ เมื่อนายถีถึงแก่ความตาย นางแช่มได้ครอบครองต่อมา และให้จำเลยปลูกสร้างบ้านขึ้นใหม่อีกหลังหนึ่ง โดยบอกให้จำเลยเอาบานประตูดังกล่าวไปติดไว้ที่บ้านหลังใหม่ แล้ววินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้นางแช่มมารดาของจำเลยเป็นผู้ครอบครองบานประตูของกลาง และเป็นผู้บอกให้จำเลยเอาบานประตูนั้นไป ฉะนั้น การที่จำเลยเอาไปโดยความยินยอมอนุญาตของมารดาซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้อื่น อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยไม่อาจเป็นความผิดตามฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ที่ว่าจำเลยขาดเจตนาทุจริตหรือไม่ บานประตูของกลางทางพิจารณาปรากฏว่าพนักงานสอบสวนมอบให้ผู้เสียหายรับคืนไปแล้ว

พิพากษายืน

Share