แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 มาตรา 4 ได้บัญญัตินิยาม คำว่า “การฌาปนกิจสงเคราะห์” หมายความว่า กิจการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้ากันเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ หรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่ตกลงเข้ากันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย และมิได้ประสงค์จะหากำไรเพื่อแบ่งปันกัน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของการฌาปนกิจสงเคราะห์คือการตกลงเข้ากันของบุคคลหลายคนที่จะดำเนินกิจการดังกล่าวเสียก่อน จากนั้นกฎหมายจึงบัญญัติให้กิจการดังกล่าวต้องดำเนินการจดทะเบียนในรูปของฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยมีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนตามมาตรา 50 เพื่อเป็นการควบคุมการดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งเป็นกิจการสาธารณประโยชน์ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ ก. ความว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยเก็บค่าสมาชิกคนละ 2,000 บาท และเก็บเงินค่าช่วยเหลือจัดการศพจากสมาชิกศพละ 20 บาท โดยจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใช้ชื่อว่า “ฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านท่าช้าง” โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมหรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามกฎหมาย กับบรรยายฟ้องในข้อ ข. สรุปว่าจำเลยทั้งสองได้แสดงต่อประชาชนด้วยคำพูดว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันก่อตั้งฌาปนกิจสงเคราะห์ใช้ชื่อว่า ฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านท่าช้าง โดยจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือจัดการศพสมาชิกซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองไม่ได้จัดตั้งหรือก่อตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย และไม่มีเจตนาที่จะนำเงินที่ได้รับจากสมาชิกไปช่วยเหลือจัดการศพสมาชิกตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง และโดยการหลอกลวงนั้นจำเลยทั้งสองจึงได้ทรัพย์สินจากผู้เสียหายหลายรายที่หลงเชื่อ ชำระเงินเพื่อเป็นค่าสมาชิกและค่าจัดการศพ จากการบรรยายฟ้องดังกล่าวจะเห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองเพียงแต่ใช้ข้ออ้างดังกล่าวหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อให้ได้เงินที่ประชาชนจ่ายให้แก่จำเลยทั้งสองในรูปแบบที่เรียกว่าค่าสมัครสมาชิกและค่าจัดการศพเท่านั้น จำเลยทั้งสองจึงมิได้มีเจตนาที่จะดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์อันเป็นองค์ประกอบความผิดข้อหาดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยไม่ได้จดทะเบียนหรือขึ้นทะเบียนตามกฎหมายตามคำขอให้ลงโทษของโจทก์แต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 มาตรา 50
ย่อยาว
ย่อยาวคำพิพากษาฎีกาที่  13876/2555
                 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๔๑,  ๓๔๓,  ๙๑  พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์  พ.ศ. ๒๕๑๗  มาตรา  ๔,  ๘,  ๕๐  ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายแต่ละคนตามบัญชีจำนวนเงินที่ผู้เสียหายแต่ละคนถูกฉ้อโกงท้ายฟ้อง  รวมเป็นเงิน
ทั้งสิ้น  ๑,๐๘๗,๑๘๐  บาท
		จำเลยที่  ๑  ให้การรับสารภาพ   ส่วนจำเลยที่  ๒  ให้การปฏิเสธ
		ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๔๓  วรรคแรก,  ๘๓  พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์  พ.ศ. ๒๕๑๗  มาตรา  ๕๐  การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน  ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๙๑  ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน  จำคุกคนละ  ๕  ปี  ฐานร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยผิดกฎหมาย  จำคุกคนละ  ๓  ปี  จำเลยที่  ๑  ให้การรับสารภาพในความผิดฐานร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยผิดกฎหมาย  เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  มีเหตุบรรเทาโทษ  ลดโทษให้เฉพาะความผิดฐานร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยผิดกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๗๘  กึ่งหนึ่ง  คงจำคุก  ๑  ปี  ๖  เดือน  รวมจำคุกจำเลยที่  ๑  มีกำหนด  ๖  ปี  ๖  เดือน
จำคุกจำเลยที่  ๒  มีกำหนด  ๘  ปี  ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายแต่ละคนตามบัญชีจำนวนเงินที่ผู้เสียหายแต่ละคนถูกฉ้อโกงตามเอกสารท้ายฟ้องรวมเป็นเงิน  ๑,๐๘๗,๑๘๐  บาท
		จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
		ศาลอุทธรณ์ภาค  ๖  พิพากษาแก้เป็นว่า  ให้ลงโทษจำเลยที่  ๒  ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน  จำคุก  ๓  ปี  ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยผิดกฎหมาย  นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
		โจทก์ฎีกา
		ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า  คำฟ้องของโจทก์ข้อ  ก.  ในความผิดฐานร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยผิดกฎหมายนั้นขาดองค์ประกอบความผิดหรือไม่
เห็นว่า  องค์ประกอบสำคัญของการฌาปนกิจสงเคราะห์คือการตกลงเข้ากันของบุคคลหลายคนที่จะดำเนินกิจการดังกล่าวเสียก่อน  จากนั้นกฎหมายจึงบัญญัติให้กิจการดังกล่าวต้องดำเนินการจดทะเบียนใน
รูปของฌาปนกิจสงเคราะห์  โดยมีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนตามมาตรา  ๕๐  เพื่อเป็นการควบคุมการดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งเป็นกิจการสาธารณประโยชน์ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย  แต่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ  ข.  ถึงพฤติการณ์ฉ้อโกงของจำเลยทั้งสองสรุปได้ว่า  จำเลยทั้งสองได้แสดงต่อประชาชนด้วยคำพูดว่า  จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ใช้ชื่อว่า  “ฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านท่าช้าง”  โดยจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย  และมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือจัดการศพสมาชิก  ซึ่งเป็นความเท็จ  ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองไม่ได้จัดตั้งหรือก่อตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย  และไม่มีเจตนาที่จะนำเงินที่ได้รับจากสมาชิกไปช่วยเหลือจัดการศพสมาชิกตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง  และโดยการหลอกลวงนั้นจำเลยทั้งสองจึงได้ทรัพย์สินเป็นเงินจากผู้เสียหายหลายรายที่หลงเชื่อชำระเงินเพื่อเป็นค่าสมัครสมาชิก  และค่าจัดการศพตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง  จากการบรรยายฟ้องของโจทก์ในข้อ  ก.
และ  ข.  นั้น  เกิดเหตุในวันเวลาเดียวกันและเห็นได้ว่าเป็นพฤติการณ์เดียวกันของจำเลยทั้งสองซึ่งใช้คำพูดที่เป็นเท็จแก่ประชาชนว่าจำเลยทั้งสองดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ถูกต้องตามกฎหมาย  ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองไม่ได้จัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวแต่อย่างใด  และคำบรรยายฟ้องที่ว่า  จำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาที่จะนำเงินที่ได้รับจากสมาชิกไปช่วยเหลือจัดการศพสมาชิกที่ถึงแก่ความตาย  จึงเท่ากับว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาจะดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามบทนิยามของกฎหมายแต่อย่างใด  จำเลยทั้งสองเพียงแต่ใช้ข้ออ้างดังกล่าวหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ  เพื่อให้ได้เงินที่ประชาชนจ่ายให้แก่จำเลยทั้งสองในรูปแบบที่เรียกว่าค่าสมาชิกและค่าจัดการศพเท่านั้น  จากคำบรรยายฟ้องของโจทก์แม้จะได้บรรยายแยกความผิดในข้อหาดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยไม่ได้จดทะเบียนหรือขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย  และข้อหาฉ้อโกงไว้ต่างหากจากกันก็ตาม  แต่ก็เห็นได้ว่าพฤติการณ์ฉ้อโกงของจำเลยทั้งสองตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์นั้น  จำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาที่จะดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์อันเป็นองค์ประกอบความผิดในข้อหาดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยไม่ได้จดทะเบียนหรือขึ้นทะเบียนตามกฎหมายตามคำขอให้ลงโทษของโจทก์แต่อย่างใด  การที่ศาลอุทธรณ์ภาค  ๖  พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้จึงชอบแล้ว  ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
		พิพากษายืน.
