คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3015/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกของพนักงานสอบสวนมีความว่า ‘ต่อมาในวันนี้ ได้เรียกนายฮั่งตังแซ่อึ้ง (คือจำเลยที่ 1) พร้อมกับนายไพบูลย์แสงเจริญตระกูล (คือโจทก์) ทั้งสองฝ่ายมา สถานีตำรวจนครบาลพระโขนง 1 ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วทางฝ่ายนายฮั่งตังแซ่อึ้ง ได้รับว่าตนได้ขอยืมเงินสด จำนวน 50,000 บาท จากนายไพบูลย์แสงเจริญตระกูล ไปจริงและได้ออกเช็คของธนาคารไทยพัฒนาทั้งสองฉบับ ไว้เป็นหลักค้ำประกันเงินที่ขอยืมไปจริง ในวันนี้ได้ทำการตกลงกันได้ความว่า ทางฝ่ายนายฮั่งตัง แซ่อึ้ง ยินยอมผ่อนชำระให้เป็นรายเดือน เดือนละ2,000 บาท โดยจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 15 ของทุก ๆ เดือน จนกว่าจะหมดจำนวนเงินที่ค้างอยู่ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ จึงได้จัดทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน’ ดังนี้ หาเข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ เพราะมิได้กล่าวถึงการคืนเช็คหรือยกเลิกเพิกถอนเช็ค เป็นเพียงความตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเท่านั้น สิทธิและความรับผิดชอบระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามเช็คนั้นยังคงมีอยู่หาได้ระงับสิ้นไปไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คเป็นการรับอาวัลทั้งประทับตรายี่ห้อลิ่มเม่งเฮงซึ่งเป็นพาณิชย์กิจของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองมอบเช็คให้โจทก์ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 51,763 บาท 50 สตางค์แก่โจทก์ พร้อมทั้งใช้ดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ออกเช็คให้โจทก์จริงแต่เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกตามตั๋วเงิน มูลหนี้ตามเช็คระงับแล้ว เพราะโจทก์จำเลยได้ตกลงแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้ โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์สมคบกับบุคคลอื่นได้เช็คมาโดยไม่ชอบ จำเลยไม่เคยสลักหลังเช็คหรือประทับตรายี่ห้อลิ่มเม่งเฮง โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทั้งหนี้ตามเช็คระงับไปแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 50,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ระหว่างผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,406.25 บาท รวมเงิน 51,406.25 บาทแก่โจทก์กับให้ใช้ดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวในต้นเงิน 50,000 บาท ตั้งแต่วันฟ้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็ค 2 ฉบับ ฉบับละ 25,000 บาท แลกเงินสดที่กู้ไปจากโจทก์ โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้นำเช็คทั้งสองฉบับไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ พนักงานสอบสวนได้เรียกโจทก์ และจำเลยที่ 1 มาไกล่เกลี่ย และทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสาร ล.1 ไว้เป็นหลักฐาน

ปัญหาวินิจฉัยข้อแรกคือ บันทึกของพนักงานสอบสวนฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2514 ตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่

ข้อความในเอกสารหมาย ล.1 มีว่า “ต่อมาในวันนี้ ……ได้เรียกนายฮั่งตัง แซ่อึ้ง (คือจำเลยที่ 1) พร้อมกับนายไพบูลย์ แสงเจริญตระกูล (คือโจทก์) ทั้งสองฝ่ายมาสถานีตำรวจนครบาลพระโขนง 1 ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ทางฝ่ายนายฮั่งตัง แซ่อึ้ง ได้รับว่าตนได้ขอยืมเงินสดจำนวน 50,000 บาทจากนายไพบูลย์ แสงเจริญตระกูลไปจริง และได้ออกเช็คของธนาคารไทยพัฒนาทั้งสองฉบับไว้เป็นหลักค้ำประกันเงินที่ขอยืมไปจริง ในวันนี้ได้ทำการตกลงกันได้ความว่า ทางฝ่ายนายฮั่งตัง แซ่อึ้ง ยินยอมผ่อนชำระให้เป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท โดยจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ 15 ของทุก ๆ เดือนจนกว่าจะหมดจำนวนเงินที่ค้างอยู่ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ จึงได้จัดทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน”

ศาลฎีกาเห็นว่า เช็คทั้งสองฉบับของจำเลยที่ 1 ยังมิได้ใช้เงินตามเช็คนั้น ๆ หนี้ย่อมไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 ทั้งความประสงค์ตามบันทึกเอกสารหมาย ล.1 หาใช่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างใดไม่ เพราะมิได้กล่าวถึงการคืนเช็คหรือยกเลิกเพิกถอนเช็ค จึงเป็นเพียงความตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเท่านั้น สิทธิและความรับผิดชอบระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงมีอยู่ต่อกันตามเช็ค หาได้ระงับสิ้นไปไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 2 เซ็นชื่อประทับตรายี่ห้อร้านสลักหลังรับอาวัลตามเช็คทั้งสองฉบับของจำเลยที่ 1 จริง จำเลยที่ 2 จำต้องรับผิดใช้เงินร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share