คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3014/2516

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลย จำเลยไม่มาศาล คงแต่ง ป.เป็นทนายความมาศาล ศาลรับใบแต่งทนายของจำเลยและได้ทำการไกล่เกลี่ยโจทก์จำเลย เช่นนี้ ถือว่าป.เป็นทนายความของจำเลยโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61แล้ว การที่ศาลกลับไปสั่งไม่รับ ป.เป็นทนายความของจำเลย โดยเห็นว่า ป.แถลงว่าลายเซ็นของจำเลยในใบแต่งทนายเป็นลายเซ็นที่แท้จริงมีสามีของจำเลยรับรอง เป็นการขัดกับชื่อของจำเลยซึ่งเป็นนางสาวนั้น จึงเป็นการมิชอบกรณีนี้ต้องถือว่าทนายของจำเลยมาศาลแล้ว เมื่อศาลทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาคดีไปเลย โดยมิได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา จึงไม่ใช่เป็นการพิจารณาโดยขาดนัด จำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ หากจำเลยไม่พอใจก็ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อไป

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าและเรียกค่าเช่าค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเช่า การบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์แต่ต้องเลื่อนคดีไป 2 ครั้ง เพราะทนายจำเลยไม่ว่าง ศาลจึงนัดสืบพยานโจทก์จำเลยแต่ต้องเลื่อนคดีไปอีก 2 ครั้ง เพราะทนายจำเลยขอถอนตัวและส่งหมายเรียกให้จำเลยไม่ได้ ศาลให้เลื่อนคดีไปนัดพร้อมเพื่อสอบถามจำเลยเกี่ยวกับทนายความและนัดสืบพยานโจทก์จำเลยด้วยในวันที่ 28 มกราคม 2515 และได้ออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลพร้อมกับระบุว่าถ้าในวันนัดไม่มีจำเลยหรือทนายมาศาล ศาลจะสืบพยานไปโดยถือว่าจำเลยไม่ติดใจมีทนายแก้ต่าง

ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลย วันที่ 28 มกราคม 2515 จำเลยไม่มาศาลได้แต่งนายประยูรเป็นทนายคนใหม่มาศาล ศาลได้ไกล่เกลี่ยคู่ความไม่ตกลงกัน นายประยูรแถลงว่าลายเซ็นในใบแต่งทนายเป็นของจำเลยจริง โดยอ้างว่าสามีจำเลยซึ่งมาศาลด้วยก็ยืนยันเช่นนั้นศาลชั้นต้นเห็นว่าคำแถลงของนายประยูรขัดกับชื่อของจำเลยซึ่งเป็นนางสาว จึงไม่รับนายประยูรเป็นทนายแก้ต่างจำเลยแต่ให้รวมไว้ในสำนวน ศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์เสร็จในวันนั้นแล้วจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า “นัดสืบพยานโจทก์วันนี้ จำเลยทราบนัดแล้วไม่มาศาลและไม่ได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบแต่ประการใด ศาลจึงมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ติดใจมีทนายแก้ต่าง….ฯลฯ…. ให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว สืบพยานโจทก์ได้ 1 ปากทนายโจทก์แถลงหมดพยาน ให้รอฟังคำพิพากษา…” แล้วในวันนั้นเองศาลได้พิพากษาขับไล่จำเลย และให้จำเลยชำระค่าเช่าค่าเสียหายตามฟ้อง

จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่มาศาลโดยมีเหตุสมควรจึงให้พิจารณาคดีใหม่

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของศาลและแกล้งประวิงคดี ทั้งตามหลักฐานในคดีจำเลยไม่สามารถชนะคดีได้พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยและมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหามีว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาในวันที่28 มกราคม 2515 ซึ่งศาลได้นัดพร้อมกันเพื่อสอบถามและนัดสืบพยานโจทก์จำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าคดีนี้ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์และได้มีการเลื่อนคดีไปหลายนัดโดยฝ่ายจำเลยเป็นฝ่ายขอเลื่อน กระทั่งถึงวันนัดครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยและหมายเรียกให้จำเลยมาศาล จำเลยได้รับหมายเรียกครั้งที่ 5 ของศาลดังกล่าวโดยชอบแล้ว จำเลยไม่มาศาล จำเลยแต่งนายประยูรเป็นทนายแก้ต่าง นายประยูรทนายความมาศาลและยื่นใบแต่งทนายต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นทำการไกล่เกลี่ยระหว่างโจทก์กับนายประยูรทนายจำเลย ผลที่สุดตกลงกันไม่ได้ ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งไม่รับนายประยูรเป็นทนายแก้ต่างของจำเลย โดยศาลชั้นต้นเห็นว่าคำแถลงของนายประยูรขัดกับชื่อของจำเลยซึ่งเป็นนางสาวแต่ให้รวมใบแต่งทนายความไว้ในสำนวน และให้นายประยูรลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 28 มกราคม 2515 แล้วศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์ไปจนเสร็จแล้วพิพากษาคดีไป ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาคดีใหม่ อ้างว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดพิจารณา และศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุสมควร จึงให้พิจารณาคดีนี้ใหม่ต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีนี้ไม่ใช่เรื่องจำเลยขาดนัดพิจารณา เพราะในวันนัดครั้งที่ 5 วันที่ 28 มกราคม 2515 นี้จำเลยได้แต่งนายประยูรเป็นทนายของจำเลย นายประยูรมาศาลและยื่นใบแต่งทนายต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นรับใบแต่งทนายรวมสำนวนไว้ กระทั่งได้ทำการไกล่เกลี่ยระหว่างโจทก์จำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 28 มกราคม 2515 ดังนี้ ถือได้ว่านายประยูรเป็นทนายของจำเลยโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 แล้ว การที่ศาลชั้นต้นกลับไปสั่งไม่รับนายประยูรเป็นทนายแก้ต่างของจำเลยโดยเห็นว่าคำแถลงของนายประยูรขัดกับชื่อจำเลยซึ่งเป็นนางสาวนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเพราะนายประยูรเป็นทนายแก้ต่างของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ดังนั้นในวันนัดครั้งที่ 5 คือวันที่ 28 มกราคม 2515 วันนัดสืบพยานโจทก์พยานจำเลยนั้น ตัวจำเลยไม่มาศาล แต่นายประยูรซึ่งถือว่าเป็นทนายของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายได้มาศาลแล้วอนึ่งปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ทำการพิจารณาไป โดยมิได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว ดังนี้ การพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ใช่การพิจารณาโดยจำเลยขาดนัด ที่จำเลยอาจขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้หากไม่เป็นที่พอใจของจำเลย ก็ชอบที่จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อไปตามแต่กรณี ที่ศาลชั้นต้นสั่งไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่นั้นจึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share