แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าของที่ดินเดิมเป็นผู้สร้างทางพิพาทเพื่อเป็นทางเข้าออกสำหรับที่ดินทุกแปลงที่เจ้าของเดิมแบ่งแยกขาย และโจทก์ได้ใช้ทางนี้ตลอดมาเป็นเวลานานกว่า10 ปี จึงกลายสภาพเป็นทางภารจำยอม อันเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ที่จะใช้ทางพิพาทได้ โดยไม่ให้จำเลยปิดกั้น ฉะนั้น แม้ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะได้ความว่าเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วอันเป็นเหตุที่จำเลยจะปิดกั้นไม่ได้ ศาลก็วินิจฉัยได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
แม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยและจำเลยจะได้ปิดป้ายว่าเป็นถนนส่วนบุคคลไว้ก็ตาม แต่เมื่อเจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะก่อนที่ดินจะตกมาเป็นของจำเลย ทางพิพาทก็ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมาย หรือพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305จำเลยจึงไม่มีสิทธิปิดกั้นทางพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 4252 และ 6039 ด้านทิศใต้ของที่ดินทั้งสองแปลงนี้ติดที่ดินโฉนดที่ 2770 ของหม่อมหลวงชูชาติ กำภู และที่ดินโฉนดที่ 4550 ของจำเลยซึ่งเดิมเป็นของหม่อมหลวงชูชาติ กำภู เมื่อครั้งที่หม่อมหลวงชูชาติ กำภู ยังเป็นเจ้าของอยู่นั้น เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2486 ได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงเล็ก ๆ เพื่อขาย และได้ทำถนนเป็นทางเข้าออกที่ดินแบ่งแยกเหล่านี้ไปเชื่อมกับทางสาธารณะ เมื่อครั้งที่นายเทียนเพ็ญ ตระกูลทอง ยังเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ดังกล่าวนี้ ก็ได้ใช้ถนนเป็นทางเข้าออกตั้งแต่ครั้งที่ซื้อมาจากหม่อมราชวงศ์ถ้วนเท่านึก ปราโมช เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2492 เมื่อโจทก์ซื้อต่อมาจากนายเทียนเพ็ญ ตระกูลทอง ก็ได้ใช้ถนนนี้ต่อมาเป็นเวลากว่าสิบปี ซึ่งได้กลายสภาพเป็นทางภารจำยอม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2509 จำเลยได้ปิดกั้นถนนดังกล่าว โจทก์ไม่สามารถเข้าออกและต้องเสียหายโดยต้องจ้างรถขนสินค้าเข้าออก ขอให้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนการปิดกั้นและให้ใช้ค่าเสียหาย 4,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินโฉนดที่ 4550 จากนายฉวี โกมลกิติ เมื่อ พ.ศ. 2487 โดยมีอาณาเขตด้านทิศเหนือติดที่ดินโฉนดที่ 4252 และ 6039 และด้านทิศตะวันตกติดที่ดินโฉนดที่ 2770 เดิมที่ดินบริเวณนี้เป็นทุ่งนา เมื่อจำเลยซื้อแล้วได้ทำถนนในที่ดินของจำเลยเพื่อเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์เฉพาะสำหรับที่ดินของจำเลยเท่านั้น ต่อมาจำเลยได้อนุญาตให้โจทก์นำรถยนต์เข้าออกตามถนนนี้ได้ จำเลยได้ปิดป้ายแสดงเป็นถนนส่วนบุคคลมิได้เจตนาให้เป็นทางสาธารณะหรือเป็นทางภารจำยอม โจทก์มิได้ใช้สิทธิมาเกิน 10 ปี เพราะมีทางอื่นเข้าออกสู่ถนนใหญ่แล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้น พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นเพื่อให้โจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกได้ดังเดิม ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 500 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ทางพิพาทได้ทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2483 – 2484 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยซื้อที่ดินโฉนดที่ 4550 จากนายฉวี โกมลกิติ โดยหม่อมหลวงชูชาติ กำภู ได้ยกที่ดินบางส่วนให้ทำเป็นทางสาธารณะ ตามที่ได้ตกลงกับหลวงอรรถพัสดุการผู้ตัดซอยพร้อมมิตรเพื่อให้ที่ดินของหม่อมหลวงชูชาติ กำภู ส่วนที่เหลือจากการแบ่งขายให้หลวงอรรถพัสดุการได้มีทางออกสู่ถนนได้ แม้ปัจจุบันจะปรากฏว่าทางพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยและจำเลยจะได้ปิดป้ายว่าเป็นถนนส่วนบุคคลก็ดี แต่เมื่อหม่อมหลวงชูชาติ กำภู เจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศให้เป็นทางสาธารณะก่อนที่จะตกมาเป็นของนายฉวี โกมลกิติ และจำเลยแล้วทางพิพาทก็ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เช่นเดิมเพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 จำเลยหามีสิทธิจะปิดกั้นไม่
ส่วนฎีกาจำเลยในข้อที่ว่า โจทก์ฟ้องตั้งประเด็นว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ไม่อาจตีความว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นทางสาธารณะจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องเสียนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าหม่อมหลวงชูชาติ กำภู เป็นผู้สร้างทางพิพาทเพื่อเป็นทางเข้าออกสำหรับที่ดินทุกแปลงที่หม่อมหลวงชูชาติ กำภู แบ่งแยกขายและโจทก์ได้ใช้ทางนี้ตลอดมาเป็นเวลากว่าสิบปี จึงกลายสภาพเป็นทางภารจำยอมอันเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ที่จะใช้ทางพิพาทได้โดยไม่ให้จำเลยปิดกั้น ฉะนั้น แม้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่าหม่อมหลวงชูชาติ กำภู ได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วอันเป็นเหตุที่จำเลยจะปิดกั้นไม่ได้ ศาลก็วินิจฉัยได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
พิพากษายืน