คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าว่าคดีนี้อันเป็นคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์และมีคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเพื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการทวงหนี้แก่จำเลยทั้งสอง ซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 25 บัญญัติให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งให้งดการพิจารณาคดีแพ่งนั้นไว้หรือจะสั่งประการใดตามที่เห็นสมควรก็ได้ คดีนี้จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แม้จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การยกข้อต่อสู้คดีหลายประการ แต่ศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดในคดีล้มละลายการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเท่ากับเป็นการให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 ได้ตกลงเจรจากับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของโจทก์แต่ผู้เดียวตามกฎหมาย หาทำให้จำเลยที่ 2 ต้องเสียหายไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจจำหน่ายคดีของโจทก์จึงเป็นการชอบด้วย พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 25 และคำสั่งดังกล่าวก็มิได้อยู่ในบังคับที่ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131และมาตรา 132 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การต่อสู้คดีขณะคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดในคดีล้มละลายแล้ว อำนาจในการจัดกิจการและทรัพย์สินของโจทก์จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะไปดำเนินการทวงหนี้ตามมาตรา 119แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความและไม่คืนค่าขึ้นศาลให้

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แก้อุทธรณ์เองจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีของโจทก์ตามคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เพื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะไปดำเนินการทวงหนี้แก่จำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 นั้น เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้จำเลยที่ 2 เสียหายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าว่าคดีนี้อันเป็นคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของโจทก์และมีคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเพื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการทวงหนี้แก่จำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 กรณีเช่นนี้ พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 25 บัญญัติให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งให้งดการพิจารณาคดีแพ่งนั้นไว้หรือจะสั่งประการใดตามที่เห็นสมควรก็ได้ คดีนี้จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แม้จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การยกข้อต่อสู้คดีหลายประการแต่ในระหว่างการพิจารณาคดี คู่ความได้ขอเลื่อนคดีไปหลายนัด และศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปเพียงปากเดียวถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้หลังจากนั้นคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงขอเลื่อนคดีเพื่อเจรจาตกลงกันโดยจำเลยที่ 2 แถลงจะนำจำเลยที่ 1 มาทำยอม แต่ก็ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้ามาว่าคดีและมีคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีดังกล่าว จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 2 จะไม่มีโอกาสคัดค้านพยานหลักฐานของโจทก์เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ก็ดี หรือไม่มีโอกาสแสดงพยานหลักฐานต่อศาลก็ดีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 สามารถดำเนินการได้ในชั้นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเท่ากับเป็นการให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 ได้ตกลงเจรจากับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของโจทก์แต่ผู้เดียวตามกฎหมาย หาได้ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องเสียหายดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาแต่ประการใดไม่ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจจำหน่ายคดีของโจทก์จึงเป็นการชอบด้วยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25 และคำสั่งจำหน่ายคดีเช่นว่านี้ มิได้อยู่ในบังคับที่ต้องนำบทบัญญัติแห่ง มาตรา 131 และมาตรา 132 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แก้ฎีกาเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share