แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองในขณะเดียวกันโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกัน แม้จะมีการกระทำต่อผู้เสียหายสองคนด้วยกัน ก็อยู่ภายในเจตนาอันเดียวกันนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวก จึงเป็นความผิดกรรมเดียว หาใช่สองกรรมไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ , ๘๓ , ๙๑ , ๙๒ , ๒๙๕ , ๒๙๗ และสั่งริบของกลางกับเพิ่มโทษจำเลยที่ ๓ ตามกฎหมาย
จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (๘) , ๒๙๕ ประกอบมาตรา ๘๓ ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส จำคุก ๓ ปี ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น (ที่ถูกเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย) จำคุก ๑ ปี รวมจำคุก ๔ ปี จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี ริบเศษขวดสุราและเศษขวดเบียร์ ของกลาง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยที่ ๒ เป็นการกระทำกรรมเดียวนั้น คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องโจทก์และคำรับสารภาพของจำเลยว่า เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๔ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยที่ ๒ กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายนายดาบตำรวจ ส. เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายนายดาบตำรวจ ป. เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ดังนี้ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำมา ๒ ข้อว่า จำเลยที่ ๒ ร่วมกับพวกกระทำความผิดหลายกรรมและจำเลยที่ ๒ ได้ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่ตามฟ้องโจทก์ระบุวันเวลากระทำความผิดทั้งสองฐานเป็นวันเวลาเดียวกันและกระทำขณะเดียวกัน ทั้งได้ความจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ กับพวกดื่มสุราด้วยกันอยู่ที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายทั้งสองเข้าไปในร้านอาหารดังกล่าว จำเลยที่ ๕ ได้เข้าไปก่อกวน เมื่อนายดาบตำรวจ ส. เดินไปที่รถยนต์เพื่อหยิบอาวุธปืนไว้ป้องกันตัวก็ถูกจำเลยที่ ๒ กับพวกเข้ารุมทำร้าย ส่วนพวกจำเลยที่เหลือได้รุมทำร้ายนายดาบตำรวจ ป. ดังนี้ ศาลฎีกา เห็นว่า จำเลยที่ ๒ กับพวก มีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกัน แม้จะมีการกระทำต่อผู้เสียหายสองคนด้วยกันก็อยู่ภายใต้เจตนาอันเดียวกันนั้น การที่จำเลยที่ ๒ กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายนายดาบตำรวจ ส. เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสและทำร้ายนายดาบตำรวจ ป. เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายในขณะเดียวกัน จึงถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นความผิดสองกรรมดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๒ ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (๘) , ๒๙๕ ประกอบมาตรา ๘๓ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๗ (๘) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๑ ปี จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓.