คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อที่ว่ากันมาแล้วหรือมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่ จะต้องพิจารณาจากคำฟ้อง คำให้การ และประเด็นข้อพิพาทในคดีเป็นสำคัญ ไม่ใช่พิจารณาจากข้อเท็จจริงและการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นพิจารณา แม้จำเลยจะได้ถามค้านพยานโจทก์ไว้โดยชัดแจ้ง แต่เมื่อไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ก็มิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
อุทธรณ์ของจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าฟ้องโจทก์ไม่แจ้งชัดและเคลือบคลุมอย่างไร แต่กลับไปอ้างการนำสืบพยานของโจทก์ว่าไม่ถูกต้องไม่ตรงกับฟ้องมาเป็นเหตุทำให้ฟ้องเคลือบคลุม เมื่อข้อเท็จจริงที่นำมาอ้างโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามอุทธรณ์ และการที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยแจ้งชัดว่าเอกสารท้ายฟ้องไม่ถูกต้องและเป็นเหตุให้ฟ้องโจทก์ไม่แจ้งชัดอย่างไร อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินไปจากโจทก์เป็นเงิน 500,000 บาทโดยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ถ้าจำเลยผิดนัดค้างชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี จำเลยยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยค้างชำระทบเข้าเป็นต้นเงินใหม่ในวันที่ค้างชำระดอกเบี้ยครบหนึ่งปีกรณีมีเหตุจำเป็นจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดไว้เมื่อใดก็ได้ แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดตามสัญญา โดยโจทก์ไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้า จำเลยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าว จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ 151,000 บาท เมื่อนำไปหักดอกเบี้ย ต้นเงินและเบี้ยประกันภัยแล้ว คงค้างเป็นต้นเงิน 479,976.46 บาท ดอกเบี้ย 161,890.31 บาทค้างชำระเบี้ยประกันภัยซึ่งโจทก์จ่ายแทนจำเลย 1,128 บาท รวมเป็นเงิน 642,994.77บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้โจทก์จำนวน 642,994.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 479,976.46 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยบังคับชำระหนี้จนครบ

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยไม่บรรยายให้เห็นว่าจำนวนเงินที่นำมาฟ้องรวมถึงดอกเบี้ยโจทก์คิดมาจากไหน อย่างไร ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 642,994.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ชอบหรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 มีใจความว่า ตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.15 ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ชำระค่าเบี้ยประกันภัยไปจริงหรือไม่โจทก์หักชำระค่าธรรมเนียมไม่ถูกต้อง โจทก์คิดดอกเบี้ยค้างชำระไม่ถูกต้อง และโจทก์หักชำระต้นเงินไม่ถูกต้อง โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้แจ้งชัดตามสภาพแห่งข้อหา ดังจะเห็นได้ว่าพยานโจทก์ไม่ทราบเรื่องอะไรและเบิกความตอบทนายความจำเลยได้อย่างเดียวว่าไม่ทราบ ฟ้องโจทก์จะต้องเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยมีประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและสัญญากู้เป็นโมฆะหรือไม่เท่านั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้อง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้องข้อพิจารณาว่าเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วหรือมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่จะต้องพิจารณาจากคำฟ้องคำให้การและประเด็นข้อพิพาทในคดีเป็นสำคัญ ไม่ใช่พิจารณาจากข้อเท็จจริงและการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นพิจารณา ซึ่งเป็นขั้นตอนพิสูจน์ความจริงทั้งข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดและข้อเท็จจริงในประเด็นโดยตรงแม้จำเลยจะได้ถามค้านพยานโจทก์ไว้โดยชัดแจ้งตามที่จำเลยอ้างมาในฎีกา แต่เมื่อไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ก็มิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง และที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.2 ว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.1 จึงมีผลทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมการคิดดอกเบี้ยหากที่ผ่านมาผิด การคิดดอกเบี้ยในครั้งต่อไปจะผิดตามไปด้วย และเป็นการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชี้ให้เห็นว่าฟ้องโจทก์โดยสภาพของคำฟ้องนั้นเองไม่แจ้งชัดและเคลือบคลุมอย่างไร แต่กลับไปอ้างการนำสืบพยานของโจทก์และข้อเท็จจริงที่นำสืบว่าไม่ถูกต้องไม่ตรงกับฟ้องมาเป็นเหตุทำให้ฟ้องเคลือบคลุม เมื่อข้อเท็จจริงที่นำมาอ้างโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นดังได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นอุทธรณ์ข้อ 2.2 จึงต้องห้ามอุทธรณ์เช่นเดียวกัน ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องบรรยายรายละเอียดของคดีตามสภาพแห่งข้อหาให้แจ้งชัดและตรงกับเอกสารท้ายฟ้อง มิใช่ตัวเลขในคำฟ้องเป็นอย่างหนึ่ง ตัวเลขในเอกสารท้ายฟ้องเป็นอีกอย่างหนึ่งและที่ฎีกาว่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 14 หรือเอกสารหมาย จ.15 เป็นเอกสารฉบับเดียวกันจำเลยได้ถามพยานไว้อย่างชัดแจ้ง รายละเอียดในคำฟ้องของโจทก์ก็อยู่ที่เอกสารฉบับนี้เพียงฉบับเดียว จำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วในคำให้การของจำเลยข้อ 3 ว่าในคำฟ้องข้อ 4ของโจทก์ โจทก์ไม่ได้บรรยายรายละเอียดตามสภาพแห่งข้อหาโดยแจ้งชัด ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำนวนเงินที่โจทก์นำมาฟ้อง ตลอดรวมถึงเรื่องดอกเบี้ยโจทก์คิดได้มาจากไหน ทำให้จำเลยไม่สามารถที่จะต่อสู้คดีได้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยแจ้งชัดว่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข14 หรือเอกสารหมาย จ.15 ไม่ถูกต้องและเป็นเหตุให้ฟ้องโจทก์ไม่แจ้งชัดอย่างไรดังที่จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบและพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share