คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3007/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วน เบิกความในคดีที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวร้องขัดทรัพย์ว่า ในวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์ จำเลยไม่อยู่โดยไปกรุงเทพมหานคร พี่น้องของจำเลยบอกจำเลยว่าได้นำเจ้าหน้าที่ศาลไปค้นหลักฐานการโอนทะเบียนรถแต่ไม่พบ แต่ในคดีร้องขัดทรัพย์นั้นมีประเด็นว่าผู้ร้องซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยในคดีนั้นก่อนมีการยึดทรัพย์หรือไม่ ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาล แม้จะเป็นเท็จก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดีการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จจริงตามป.อ. มาตรา 177.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งของศาลจังหวัดสิงห์บุรี ว่า “วันที่เจ้าหน้าที่ศาลไปยึดรถข้าฯไม่อยู่เข้ากรุงเทพฯ ฯลฯ” “พี่ ข้าฯ น้องข้าฯ ได้บอกข้าฯ ว่า ได้นำเจ้าหน้าที่ศาลไปค้นหลักฐานการโอนทะเบียนรถแต่ไม่พบหลักฐานการโอนทะเบียน” อันเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความต่อศาลในการพิจารณาคดีนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีเดิมคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 216/2525 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรีนั้นมีผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดคือรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียนสิงห์บุรี 80-0484 เป็นของผู้ร้อง โดยซื้อมาจากนางสมโภชจำเลยในคดีดังกล่าวขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โจทก์ยื่นคำให้การในคดีนั้นว่า สัญญาซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับจำเลยทำขึ้นภายหลังที่รถยนต์คันดังกล่าวถูกยึด สัญญาซื้อขายลงวันที่ย้อนหลังโดยไม่สุจริต การซื้อขายมิได้ทำกันจริง ในการพิจารณาคดีดังกล่าวจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างผู้ร้องเบิกความว่า ในวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์คันนี้จำเลยไม่อยู่ จำเลยไปกรุงเทพมหานคร พี่น้องของจำเลยบอกจำเลยว่าได้นำเจ้าหน้าที่ศาลไปค้นหลักฐานการโอนทะเบียนรถแต่ไม่พบ จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า คดีร้องขัดทรัพย์นั้นมีประเด็นว่าผู้ร้องซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยในคดีนั้นก่อนมีการยึดทรัพย์หรือไม่ ดังนี้ ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลดังกล่าวแม้จะเป็นเท็จก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share