คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องและหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารฟ้องกล่าวว่า การที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดสัญญาต่อโจทก์ จนโจทก์บอกเลิกสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและขาดประโยชน์อันควรได้ในทางการค้าปกติคือ จำเลยที่ 1 ครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 6 ถึงวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 76,643 บาท กับค่าใช้สอยรถยนต์ที่เช่าซื้อวันละ 400 บาท นับแต่วันที่โจทก์ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อถึงวันฟ้องเป็นเงิน 68,400 บาท และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาจนครบถ้วนพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกร้องค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ ตลอดเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์และชำระค่าเสียหายรายเดือนนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกินจำนวนเดือนที่ศาลกำหนดได้ ไม่เป็นการพิพากษา เกินคำขอและศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกนั้น หมายถึง คำขอของโจทก์ในส่วนที่มิได้กล่าวไว้ในคำพิพากษา ส่วนการคืนรถยนต์แก่โจทก์แล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี
โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาแก่โจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้ร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเป็นเงิน ๗๖,๖๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็น ค่าใช้รถยนต์วันละ ๔๐๐ บาท นับแต่โจทก์บอกเลิกสัญญาจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖๘,๔๐๐ บาท และชำระในอัตราเดียวกัน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็น ค่าขาดประโยชน์ ๓๔,๒๐๐ บาท และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์หรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกิน ๑๐ เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่า เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๘ ว – ๐๓๖๕ กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์ในราคา ๓๙๔,๑๖๔ บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อ ๓๖ งวด งวดละ ๑๐,๙๔๙ บาท ต่อเดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๓๘ งวดต่อไปชำระ ไม่เกินวันที่ ๑๐ ของเดือนถัดไปทุกเดือนจนกว่าจะครบโดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อเพียง ๕ งวด เป็นเงิน ๕๔,๗๔๕ บาท แล้วผิดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ ๖ ประจำวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๙ เป็นต้นมา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็น ค่าขาดประโยชน์ ๓๔,๒๐๐ บาท และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกิน ๑๐ เดือน ศาลพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์ จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องและหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖ กล่าวว่า การที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดสัญญาต่อโจทก์ จนโจทก์บอกเลิกสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและ ขาดประโยชน์อันควรในทางการค้าปกติคือ จำเลยที่ ๑ ครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ ๖ ถึงวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน ๗๖,๖๔๓ บาท กับค่าใช้สอยรถยนต์ที่เช่าซื้อวันละ ๔๐๐ บาท นับแต่วันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖๘,๔๐๐ บาท และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคา จนครบถ้วน จึงพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกร้องค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ ตลอดเวลาที่จำเลยที่ ๑ ยังคงครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยท้งสองคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีแล้ว เมื่อศาลพิพากษายกคำขออื่น ๆ ของโจทก์ทั้งหมด จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชอบในการชำระหนี้อื่นใดแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกนั้น หมายถึง คำขอของโจทก์ในส่วนที่มิได้กล่าวไว้ใน คำพิพากษา ส่วนการคืนรถยนต์แก่โจทก์แล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีดังนั้น นอกจาก จำเลยทั้งสองต้องร่วมคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองยังต้องร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่า ขาดประโยชน์แก่โจทก์อีกด้วย
ที่โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า ขอให้ศาลฎีกาโปรดวินิจฉัยเสียใหม่ ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชำระค่าเช่าซื้อ ที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาแก่โจทก์ตามฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวน ทุนทรัพย์ที่เรียกร้องกลับกล่าวมาในคำแก้ฎีกาดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกาแต่ทำมาเป็นเพียงคำแก้ฎีกา จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน .

Share