คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2986/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และผู้ร้องต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีที่จำเลยเป็นคนคนเดียวกัน จำเลยยอมใช้หนี้เงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยภายใน 10 วันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยยอมโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ร้องเป็นการใช้หนี้แทนภายใน 10 วันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความปรากฏว่าโจทก์นำยึดเรือนและที่พิพาทของจำเลยในวันเดียวกันกับที่ผู้ร้องกับจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์นำยึดภายหลังการทำยอมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนโจทก์นำยึด แม้จำเลยจะยังมิได้กระทำการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนให้ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ขอให้เพิกถอนการยึดได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์นำยึดที่ดินมีโฉนด ๑ แปลงพร้อมทั้งบ้าน ๑ หลัง เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมซึ่งที่ดินและบ้านดังกล่าวจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมโอนให้ผู้ร้องเป็นการใช้หนี้แทนภายใน ๑๐ วันนับแต่วันทำสัญญาและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องจึงร้องว่า ผู้ร้องได้สิทธิตามคำพิพากษาอยู่ก่อนที่โจทก์นำยึดการกระทำของโจทก์เป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้อง ขอให้ศาลเพิกถอนการยึด
โจทก์ให้การว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ก่อนที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยและยังไม่ได้ปล่อยการยึด การที่จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องทรัพย์พิพาทยังติดการยึดอยู่ จำเลยหาอาจก่อให้เกิดการโอนหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ไม่ หนี้ของจำเลยยังไม่ถึงกำหนดชำระ ยังไม่ได้ส่งมอบการครอบครองให้ผู้ร้อง และผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การโอนจึงยังไม่สมบูรณ์ผู้ร้องไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ พฤติการณ์ของจำเลยกับผู้ร้องดำเนินคดีต่อกันแสดงว่าใช้สิทธิไม่สุจริต สมยอมกันเพื่อฉ้อฉลโจทก์และเพื่อให้ทรัพย์พ้นจากการบังคับคดี ขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ผู้ร้องแถลงว่า ผู้ร้องได้สิทธิตามคำพิพากษาท้ายยอมก่อนโจทก์นำยึดครั้งหลัง และผู้ร้องกับจำเลยยังมิได้โอนทะเบียนสิทธิกันศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าสิทธิของผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียน จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าอยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก่อนนั้น ก็จะนำมาใช้ยันโจทก์คดีนี้ไม่ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนี้ผู้ร้องเป็นหนี้สมยอมหรือไม่ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์และผู้ร้องต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่นายเล็กทองนอก เป็นจำเลยคนเดียวกัน คดีที่โจทก์ฟ้องนั้นนายเล็ก ทองนอก จำเลยยอมใช้หนี้เงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยภายใน ๑๐ วันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดตรังหมายเลขแดงที่ ๕๒-๕๔/๒๕๑๖ นายเล็ก ทองนอก จำเลยผิดนัด โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเรือนและที่พิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินชำระหนี้ส่วนคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์นั้น นายเล็ก ทองนอก จำเลยยอมโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ร้องเป็นการใช้หนี้แทน โดยจะไปทำการโอนโฉนดภายใน ๑๐ วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเรือนและที่พิพาท
โจทก์ไม่มีสิทธิจะยึดทรัพย์รายพิพาทเพราะเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗หรือไม่ เห็นว่า โดยผลของคำพิพากษาในคดีของโจทก์ โจทก์จะได้รับชำระหนี้จากนายเล็ก ทองนอก จำเลยเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงจะมีสิทธิบังคับคดียึดเรือนและที่พิพาทออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ของโจทก์ต่างกับคดีของผู้ร้องเป็นโจทก์ซึ่งจำเลยได้ยอมโอนเรือนและที่พิพาทให้ผู้ร้องเป็นการชำระหนี้ โดยผลแห่งคำพิพากษาเป็นการบังคับโดยเฉพาะเจาะจงและสภาพแห่งหนี้เปิดช่องที่จะบังคับกันได้อยู่แล้ว ในการนำยึดเรือนและที่พิพาทของโจทก์แม้จะได้กระทำในวันเดียวกันกับวันที่ผู้ร้องกับจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์นำยึดภายหลัง ปรากฏตามบันทึกการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดเมื่อเวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกาและปรากฏตามคำแถลงของโจทก์ ขอให้ศาลชั้นต้นทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เจ้าพนักงานศาลได้รับคำแถลงของโจทก์เมื่อเวลา ๑๓.๔๕ นาฬิกา ฉะนั้น โดยผลแห่งคำพิพากษามีผลให้ผู้ร้องอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเรือนและที่พิพาท แม้ว่าจำเลยจะยังมิได้กระทำการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนให้ผู้ร้องก็หามีผลเปลี่ยนแปลงสิทธิของผู้ร้องแต่ประการใดไม่ ฯลฯ
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดเรือนและที่พิพาทรายนี้

Share