คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป โดยมอบใบทะเบียนเรือของตนให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าใบทะเบียนเรือนั้นหายไป เป็นหลักฐานซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ขอให้กรมเจ้าท่าออกใบทะเบียนเรือให้จำเลยที่ 1 ได้ใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะสามารถขายเรือให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้ใบทะเบียนเดิมฉบับที่อยู่ที่โจทก์แต่เมื่อการแจ้งความเท็จนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความนั้น จำเลยมิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่7/2517)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเอาความซึ่งจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ และอาจทำให้โจทก์และเจ้าพนักงานเสียหายมาแจ้งแก่ร้อยตำรวจโทวิชัย สุนทรกิจ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่า “วันนี้ เวลา 8.00 น. จำเลยที่ 2 ได้ทำทะเบียนเรือไทยชื่อเรือ ส.ป.ไพโรจน์นาวา 1 เลขที่ 94357 ของจำเลยที่ 1 ตกน้ำหายไปที่ท่าเรือคลองสาน ในลำน้ำเจ้าพระยา ตำบลคลองสาน อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี” ร้อยตำรวจโทวิชัยหลงเชื่อจึงได้จดข้อความเท็จนั้นลงในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวัน อันจำเลยที่ 1 สามารถจะใช้เป็นพยานและเป็นหลักฐานในการขอรับใบทะเบียนเรือไทยชื่อเรือ ส.ป.ไพโรจน์นาวา 1เลขที่ 94357 ของจำเลยที่ 1 จากกรมเจ้าท่าใหม่ได้อีก จำเลยที่ 1ได้นำรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันดังกล่าวไปแสดงเป็นพยานหลักฐานต่อเจ้าพนักงานกรมเจ้าท่า เจ้าพนักงานกรมเจ้าท่าได้ออกใบทะเบียนเรือไทยชื่อเรือ ส.ป.ไพโรจน์นาวา 1 เลขที่ 94357 ให้แก่จำเลยที่ 1 ใหม่อีก ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ยังไม่มีสิทธิจะขอใบทะเบียนเรือใหม่ได้ ข้อความที่จำเลยที่ 2 แจ้งและให้เจ้าพนักงานจด ล้วนเป็นความเท็จความจริงใบทะเบียนเรือดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้นำมามอบให้โจทก์ยึดถือไว้เพื่อเป็นหลักฐานและหลักประกันในการกู้เงินที่จำเลยที่ 1 ได้ยืมไปจากโจทก์ ยังมิได้ชำระเงิน และใบทะเบียนเรือดังกล่าวยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ได้ทะเบียนเรือใหม่อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งจำเลยที่ 1 สามารถจะขายเรือดังกล่าวให้บุคคลอื่นได้โดยไม่ต้องใช้ใบทะเบียนเรือฉบับเดิมฉบับที่อยู่ที่โจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 83, 90

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 83 ออกหมายจับจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ตัว จึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ชั่วคราว

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยแจ้งความเท็จ และโจทก์เป็นผู้เสียหายพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 83จำคุก 2 เดือน ปรับ 500 บาท

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษากลับ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 หรือไม่ โดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อร้อยตำรวจโทวิชัย สุนทรกิจ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ตามคำแจ้งความของจำเลยมิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากคำแจ้งอันเป็นเท็จของจำเลยดังกล่าวแต่อย่างใด โจทก์จึงมิได้รับความเสียหายโดยตรงเนื่องจากคำแจ้งความอันเป็นเท็จของจำเลยซึ่งจำเลยกระทำต่อร้อยตำรวจโทวิชัย สุนทรกิจ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ไม่มีอำนาจฟ้อง

พิพากษายืน

Share