คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2968/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยชำระเงินกับออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระราคาค่าที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีที่ดินที่จะขายให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกงแล้วโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ต่อกัน ในการทำสัญญาดังกล่าวแม้จะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยทั้งสองลงชื่อไปเพราะโจทก์พูดว่า “ต้องคืนเงิน (ที่จำเลยรับไป) ถ้าไม่คืนจะเอาเข้าตะราง” ก็ดี หรือทนายโจทก์พูดว่า “ขอให้คืนมัดจำและเช็คให้เสีย ถ้าไม่คืนเงินจะให้เอาเข้าตะราง” ก็ดี เป็นเรื่องที่โจทก์ขู่ว่า ถ้าจำเลยไม่คืนเงินและเช็คที่รับไปแล้ว โจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจำเลยทางอาญาฐานฉ้อโกง อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตเพราะตนมีสิทธิในมูลกรณีนั้น ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมหาจัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และไม่ใช่เรื่องหลอกลวงสัญญาประนีประนอมยอมความจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ตกลงซื้อที่ดินตาม น.ส.๓ เลขที่ดิน ๔๓ จากจำเลยที่ ๑ ราคา ๑๖๐,๐๐๐ บาท โดยชำระเงิน ๔๐,๐๐๐ บาทกับออกเช็คสั่งจ่ายเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ชำระราคาค่าที่ดินให้จำเลยที่ ๑และได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ ต่อมาปรากฏว่าที่ดินแปลงดังกล่าวทางอำเภอไม่เคยออก น.ส.๓ ให้แก่จำเลยที่ ๑ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑และที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรต่อศาลในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง และต่อมาโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เลิกหนังสือจะซื้อจะขายข้างต้น โดยจำเลยที่ ๑ ได้คืนเช็คที่รับไปและยอมคืนเงิน๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ กำหนดชำระคืนเป็น ๒ งวด กับยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือนในต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๓ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ทวงถามแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันชำระเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน ๔๓,๓๙๙.๘๔ บาท และใช้ดอกเบี้ยร้อยละ๑.๒๕ บาทต่อเดือนในต้นเงิน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองถูกโจทก์และบุคคลอื่นขู่เข็ญและหลอกลวงให้ลงชื่อว่าจะถอนฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสองหากไม่ยอมลงชื่อจะขอให้มีการคุมขังกับโจทก์ได้สมคบกันบอกว่ามีคนอื่นจะซื้อที่ดินอยู่แล้ว ให้ขายไปเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์จำเลยทั้งสองจึงลงชื่อในหนังสือสัญญาประนีประนอม โดยไม่สมัครใจจะให้มีความผูกพันกับโจทก์ตามสัญญา สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแขวงพระนครใต้ในข้อหาฐานฉ้อโกง ในวันนัดพร้อมสอบถาม โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ต่อกัน คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองได้ถูกโจทก์ นายศลย์ และนายเฉลียวทนายความขู่เข็ญและหลอกลวงให้จำเลยทั้งสองลงชื่อในการทำสัญญาดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างนำสืบโต้แย้งกันอยู่ อย่างไรก็ดี แม้จะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยทั้งสองลงชื่อไปเพราะโจทก์พูดว่า “ต้องคืนเงิน (ที่จำเลยรับไป) ถ้าไม่คืนจะเอาเข้าตะราง”ก็ดี หรือนายศลย์ทนายโจทก์พูดว่า “ขอให้คืนมัดจำและเช็คให้เสีย ถ้าไม่คืนเงินให้จะเอาเข้าตะราง” ก็ดี หรือที่นายเฉลียวทนายจำเลยพูดว่า “ถ้าศาลไต่สวนมีมูลก็ต้องประกันตัว ถ้าไม่ประกันก็จะต้องติดตะราง” ก็ดี เป็นเรื่องที่โจทก์ขู่ว่าถ้าจำเลยไม่คืนเงินและเช็คที่รับไปแล้ว โจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจำเลยทางอาญาฐานฉ้อโกง อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต เพราะตนมีสิทธิในมูลกรณีนั้นดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ความกลัวต่อการขู่ว่าจะใช้สิทธิอันใดอันหนึ่งตามปกตินิยมนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๗ หาจัดว่าเป็นการข่มขู่ไม่ และไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแต่ประการใดสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.๔ จึงสมบูรณ์ ใช้บังคับกันได้ จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
พิพากษายืน

Share