คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2965/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่โจทก์ยกให้แก่ทางราชการซึ่งต่อมาทางราชการมีโครงการจัดสรรสำหรับราษฎรอยู่อาศัยร่วมกันเป็นคนละแปลงกับที่ดินพิพาทที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทจัดสรรสำหรับราษฎรอาศัยร่วมกัน และเมื่อจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าที่ดินพิพาทหาได้ไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์มีกำหนด 3 ปีค่าเช่าเดือนละ 200 บาท โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไปโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินเมื่อครบกำหนดการเช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,300 บาท และเดือนละ 200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเพราะเป็นที่ดินของหน่วยราชการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจให้จำเลยเช่าและฟ้องขับไล่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ ค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินหมาย จ.3 ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันให้จ่าศาลเป็นผู้ทำแผนที่พิพาทกลางโดยโจทก์และจำเลยเป็นผู้นำชี้ ปรากฏตามแผนที่พิพาทกลางในสำนวนอันดับที่ 24 โจทก์ฎีกาว่าที่ดินที่โจทก์สละให้แก่ทางราชการคือที่ดินส่วนที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของถนน กรป. – ปราสาท ส่วนที่ดินพิพาทคือที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของถนน กรป.-ปราสาท ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทจัดสรรสำหรับราษฎรอยู่อาศัยร่วมกันตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันจึงมีว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทจัดสรรสำหรับราษฎรอยู่อาศัยร่วมกันหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 228 เนื้อที่ 18 ไร่ ต่อมาทางราชการได้ตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าว ที่ดินที่อยู่ด้านทิศเหนือของถนนเนื้อที่ 12 ไร่ ตกเป็นที่ราชพัสดุส่วนที่ดินทางด้านทิศใต้ซึ่งเหลืออยู่อีก 6 ไร่ โจทก์ครอบครองอยู่ต่อมา ที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยทำสัญญาเช่าจากโจทก์คือที่ดินที่อยู่ด้านทิศใต้ของถนน กรป.-ปราสาท ตามแผนที่พิพาทกลาง ศาลฎีกาเห็นว่าตามแผนที่พิพาทกลางซึ่งจำเลยเป็นผู้นำชี้และรับรองความถูกต้องได้แสดงไว้ว่าที่พิพาทอยู่ทางด้านทิศใต้ของถนน กรป.-ปราสาท ตามที่โจทก์นำสืบส่วนที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ได้ยกที่ดินตามหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 228 ให้แก่ทางราชการสำหรับใช้เป็นที่ตั้งสถานีตำรวจภูธรอำเภอปรางค์กู่แล้วนั้นก็ปรากฏตามแผนที่ด้านหลังบันทึกถ้อยคำของนายเมี๊ยะ แหวนวงษ์เอกสารหมาย ล.3 ซึ่งเป็นพยานเอกสารของจำเลยเองว่าที่ดินที่โจทก์ยกให้ทางราชการตามที่นายเมี๊ยะให้ถ้อยคำต่อนายวิชัย ทองมวล เป็นที่ดินที่อยู่เหนือถนนสาย กรป.-ปราสาทที่ดินที่โจทก์ยกให้แก่ทางราชการซึ่งต่อมาทางราชการมีโครงการจัดสรรสำหรับราษฎรอยู่อาศัยร่วมกันจึงเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทจัดสรรสำหรับราษฎรอาศัยร่วมกัน และเมื่อจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าที่ดินพิพาทได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share