แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกกระทงละ 1 ปีจึงห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยที่ 2ฎีกาได้เฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยมอบอาวุธปืนให้คนร้ายไปยิงผู้ตายศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ได้ตามมาตรา 185 วรรคแรก เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยทั้งสองร่วมกัน ก่อ ใช้ จ้าง วาน โดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้นายสำเริง สอนผึ้ง นายโจ้งหรือจง นาคทอง และนายหยงคล้ายท่าโรง จำเลยทั้งสามในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 111/2532 ของศาลชั้นต้นร่วมกันฆ่าจ่าสิบเอกทองสุข ภู่มี ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยทั้งสามในคดีอาญาดังกล่าวได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจ่าสิบเอกทองสุข ภู่มี 1 นัด ถึงแก่ความตายทันทีจำเลยที่ 2 ได้มีอาวุธปืนลูกซองพกไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอกและอาวุธปืนหมายเลขทะเบียน พล.4/10426 ของผู้มีชื่อ 1 กระบอกรวม 2 กระบอก และกระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน 6 นัด เป็นอาวุธปืนและกระสุนปืนที่ใช้ยิงได้ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และพาติดตัวไปในทางสาธารณะ ในหมู่บ้านต่าง ๆหลายแห่ง โดยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งไม่ใช่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ที่ต้องมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 83, 84, 91, 32, 33พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และขอให้ริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 84, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 84 ให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 2แต่คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปีเมื่อรวมโทษความผิดทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ข้อหาอื่นให้ยก คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง ของกลางศาลมีคำสั่งริบแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 355/2532 ของศาลชั้นต้น จึงยกคำขอนี้ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกกระทงละ 1 ปี จึงห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกคงมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะความผิดฐานจ้าง วานฆ่า ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จ่าสิบเอกทองสุขผู้ตายเป็นสามีจำเลยที่ 1 มีบ้านพักอยู่ที่อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก แต่รับราชการทหารอยู่ที่จังหวัดตากก่อนเกิดเหตุผู้ตายกลับมาเยี่ยมครอบครัวตามปกติที่จังหวัดพิษณุโลกวันเกิดเหตุผู้ตายขึ้นรถโดยสารประจำทางพิษณุโลก-ตาก ที่ถนนหน้าบ้านจะกลับไปจังหวัดตาก ขณะรถกำลังแล่นอยู่ในเขตจังหวัดสุโขทัย ก็ถูกนายสำเริงใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตายบนรถโดยสารประจำทาง โดยมีนายโจ้งและนายหยงพวกของนายสำเริงคอยคุ้มกันอยู่ใกล้ ๆ แล้วบุคคลทั้งสามได้ลงจากรถหลบหนีไป เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับนายสำเริง นายโจ้งและนายหยงได้ บุคคลทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย และซัดทอดว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้จ้างให้บุคคลทั้งสามไปยิงผู้ตาย ได้ค่าจ้าง 20,000บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายสำเริง นายโจ้งและนายหยงจำคุกตลอดชีวิต ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 111/2532 หมายเลขแดงที่ 355/2532 ของศาลชั้นต้น สำหรับปัญหาที่จะวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 84 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษมานั้น โจทก์มีนายโจ้งและนายหยงเบิกความประกอบคำให้การชั้นสอบสวนของนายโจ้ง นายสำเริง และนายหยงตามเอกสารหมาย จ.4 จ.5 จ.6 ได้ความทำนองเดียวกันว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ไปหานายโจ้งที่บ้าน พบนายสำเริงและนายหยง แล้วได้พาบุคคลทั้งสามไปพูดคุยกันที่ห้างนาข้างบ่อปลาของจำเลยที่ 2เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยที่ 2 ประสงค์จะหามือปืนยิงผู้ตาย นายโจ้งนายสำเริงและนายหยงรับจะไปยิงผู้ตายโดยนายสำเริงจะเป็นคนลงมือยิง ค่าจ้าง 20,000 บาท จำเลยที่ 2 รับจะเป็นคนจัดหาอาวุธปืนให้ วันเกิดเหตุบุคคลทั้งสี่นัดพบกันที่บ่อปลาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มอบอาวุธปืนให้นายโจ้งและนายสำเริงคนละ 1 กระบอก แล้วได้ขับรถจักรยานยนต์พานายโจ้ง นายสำเริงและนายหยงไปคอยขึ้นรถโดยสารประจำทางที่ผู้ตายจะขึ้นเดินทางไปจังหวัดตาก พอผู้ตายขึ้นรถแล้วจำเลยที่ 2 ก็มาบอกให้บุคคลทั้งสามทราบและขึ้นรถไปด้วยกับผู้ตาย ระหว่างทางนายสำเริงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายบนรถโดยสารประจำทาง แล้วบุคคลทั้งสามได้ลงจากรถหลบหนีไปหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้นำเงิน 20,000 บาท มาให้บุคคลทั้งสามที่บ้านนายหยงแบ่งกันคนละ 6,500 บาท เหลือ 500 บาท นำไปซื้อสุราอาหารมาเลี้ยงกัน แต่นายสำเริงผู้ร่วมกระทำผิดกับนายโจ้งและนายหยงกลับเบิกความว่า นายโจ้งเป็นคนรับงาน (ยิงผู้ตาย)จากผู้ว่าจ้างเป็นเงิน 20,000 บาท ซึ่งไม่ใช่จำเลยที่ 2 พยานไม่เคยพบหน้าผู้ว่าจ้าง วันเกิดเหตุพยาน นายโจ้งและนายหยงนัดพบกันที่ห้างนาข้างบ่อปลาของจำเลยที่ 2 ได้พบจำเลยที่ 2อยู่ที่นั่นด้วยแล้วจำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถจักรยานยนต์พาบุคคลทั้งสามไปส่งไว้ริมถนนสายพิษณุโลก สุโขทัย แล้วก็จากไปไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรอีก นายโจ้งเป็นคนบอกให้พยานกับนายหยงขึ้นรถโดยสารประจำทางและชี้ให้พยานยิงผู้ตายคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานเอกสารหมาย จ.5 ไม่เป็นความจริง คำเบิกความของนายสำเริงจึงแตกต่างขัดแย้งกับคำเบิกความของนายโจ้งและนายหยงและไม่ตรงกับคำให้การในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.5เกี่ยวกับอาวุธปืน 2 กระบอก ตามฟ้อง นายโจ้งให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความว่า จำเลยที่ 2 พานายโจ้งไปขอยืมอาวุธปืนจากนายแสวง 1 กระบอก ให้นายโจ้งติดตัวไว้ ส่วนอาวุธปืนที่นายสำเริงใช้ยิงผู้ตายเป็นอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 มอบให้นายสำเริงในวันเกิดเหตุ แต่นายแสวงเบิกความว่า ก่อนวันเกิดเหตุ 5 วัน นายโจ้งกับนายน้อมมาขอยืมอาวุธปืนจากพยานไป 1 กระบอก พยานรู้จักนายโจ้งกับนายน้อมมานานแล้ว ครั้นตอบทนายจำเลยถามค้านและโจทก์ถามติงกลับว่านายโจ้งมาขอยืมอาวุธปืนบอกว่านายน้อมมาด้วยไม่ทราบว่านายน้อมไหนและไม่เห็นตัวนายน้อมเพราะเป็นเวลาค่ำมืด และไม่ทราบว่าเป็นนายน้อม บัวใบหรือไม่ และในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนที่ว่านายน้อมเป็นคนพูดขอยืมอาวุธปืนไม่เป็นความจริง ส่วนนายสำเริงเบิกความว่าอาวุธปืนที่พยานยิงผู้ตายเป็นอาวุธปืนของพยานเอง คำเบิกความของนายแสวงและนายสำเริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปยืมอาวุธปืนจากนายแสวงให้นายโจ้งและเอาอาวุธปืนของตนให้ให้นายสำเริงไปใช้ยิงผู้ตาย ส่วนเงินค่าจ้างยิงผู้ตายนั้นนายโจ้ง และนายหยงเบิกความตรงกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนนำมาให้นายสำเริง นายโจ้งและนายหยงแบ่งกันคนละ 6,500 บาท ที่บ้านของนายหยง แต่นายสำเริงเบิกความว่านายโจ้งเป็นคนนำเงิน 6,500 บาท มาให้พยาน จะเป็นเงินผู้ใดและนำมาจากที่ใดพยานไม่ทราบ ข้อที่พันตำรวจโทเปลื้อง คำลือมีพนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.13 (4 แผ่น) และได้นำชี้ที่เกิดเหตุร่วมกับนายสำเริงนายโจ้งและนายหยง กับแสดงท่าให้ถ่ายภาพประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุหมาย จ.15 และภาพถ่ายหมาย จ.3(รวม 20 ภาพ) ด้วย ได้ความจากร้อยเอกวิเชียร โตรดผู้บังคับบัญชาผู้ตายพยานจำเลยว่า ผู้ตายเป็นทหาร พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนโดยไม่มีนายทหารพระธรรมนูญมาร่วมฟังการสอบสวนด้วยตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย เมื่อได้ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงดังกล่าว และต่อมาก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธต่อหน้านายทหารพระธรรมนูญที่มาร่วมฟังการสอบสวน อ้างว่าที่ให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ว่าจะทำร้าย ดังที่พันตำรวจโทเปลื้องบันทึกไว้ท้ายคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.16 ซึ่งได้กระทำต่อหน้าพันตรีศรายุทธ กลิ่นมาหอม นายทหารพระธรรมนูญที่มาร่วมฟังการสอบสวนศาลฎีกา เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ดังวินิจฉัยมา มีข้อแตกต่างขัดแย้งกันหลายประการ และเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน อีกทั้งยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานจ้างวาน ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนได้ และเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ ในคดีนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานจ้าง วาน ฆ่าผู้ตาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิด ฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรก เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2เสียด้วย