คำสั่งคำร้องที่ 2427/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมิได้ส่งคำร้องพร้อมสำนวนความไปให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณารับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำร้องขอของจำเลย แต่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่มิได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเป็นผู้สั่งไม่รับคำร้องนั้น จึงเป็นการ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้ายที่แก้ไขใหม่ ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวต่อไป

ย่อยาว

ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่าฎีกาของจำเลยพิพาทเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย และสั่งคำร้องว่า ศาลสั่งไม่รับฎีกาจำเลย จึงไม่รับคำร้องของจำเลย

จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นจะต้องมีคำสั่งในคำร้องขอให้รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก่อนที่จะสั่งฎีกา ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาก่อนแล้วจึงสั่งคำร้องดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ปัญหาในฎีกาของจำเลยที่ว่า รายการสินค้าเอกสารหมาย จ.5 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ อย่างไรนั้นก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบ โปรดมีคำสั่งให้ส่งสำนวนเพื่อให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา และรับฎีกาของจำเลยด้วย

หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 42,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน (วันที่ 8 ธันวาคม 2530) จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2530 (วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 7,500 บาท ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษารับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และไม่รับคำร้องดังกล่าว (อันดับ 59, 98)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 65)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้ส่งคำร้องพร้อมสำนวนความไปให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณารับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำร้องขอของจำเลย แต่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่มิได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเป็นผู้สั่งไม่รับคำร้องนั้นจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย ที่แก้ไขใหม่ จึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวต่อไป

Share