คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโอนให้ แก่ผู้คัดค้านเสียย่อมมีผลให้สิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อจาก ผู้เช่าซื้อที่ยังค้างชำระอยู่ กลับคืนมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิม จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจาก ผู้เช่าซื้อต่อไปได้ ผู้คัดค้านต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไว้แล้วตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อเท่านั้น ไม่ต้อง รับผิดในเงินค่าเช่าซื้อที่ยังมิได้รับชำระ การเพิกถอนการโอนทรัพย์เป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ก็ยังถือ เป็นการโอนโดยชอบอยู่ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วัน ยื่นคำร้องอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียก ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้เพิกถอนการโอน.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2527 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2528 ต่อมาวันที่ 29สิงหาคม 2529 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2526 ซึ่งอยู่ในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย จำเลยที่ 1ได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อมีต่อผู้เช่าซื้อจำนวน 85 ราย เป็นเงิน6,761,375 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านการทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องนี้ก็เพื่อเป็นหลักประกันในการชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่กท.792-200-26 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2526 ซึ่งตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1 ได้ออกให้แก่ผู้คัดค้านเพื่อเป็นการชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมไปจากผู้คัดค้านเป็นจำนวน5,000,000 บาท ผู้คัดค้านได้เรียกเงินจากผู้เช่าซื้อรถยนต์ตลอดมาจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2528 ผู้คัดค้านได้รับเงินจากผู้เช่าซื้อรถยนต์เป็นเงิน 3,680,698 บาท ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2526ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านเสีย และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านชดใช้ราคาเป็นเงิน 6,761,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นการโอนชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ไม่ใช่จำเลยที่ 1 ให้หลักประกันแก่ผู้คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2526 ระหว่างจำเลยที่ 1กับผู้คัดค้านเสียตามมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านชดใช้ราคาเป็นเงิน 6,761,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คำขอเรื่องดอกเบี้ยของผู้ร้องในกรณีชดใช้ราคาแทนนั้นให้ยกเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินผู้คัดค้านจำนวน 5,000,000 บาทได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ กท.792-200-26 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2526 จำนวนเงิน5,000,000 บาท กำหนดชำระเงินเมื่อทวงถามตามเอกสารหมาย ค.1มอบให้ผู้คัดค้าน ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2526 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่ผู้คัดค้าน ตามเอกสารหมาย ค.2 หรือ ร.4 ซึ่งเป็นการโอนในระหว่างระยะเวลา 3 ปีก่อนมีการขอให้ล้มละลาย มีปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้หรือไม่ซึ่งผู้คัดค้านฎีกาว่า แม้ตามหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย ร.4 (ค.2) ข้อ 3 จะระบุไว้ว่า “การโอนสิทธิในการเป็นผู้ให้เช่าซื้อและโอนชื่อทางทะเบียนรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่ผู้รับโอนตามสัญญานี้ เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ให้แก่ผู้รับโอน” ก็ตาม แต่ตามเอกสารหมาย ร.4 (ค.2) ข้อ 8 ก็ระบุไว้ว่า”สัญญานี้ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ผู้รับโอนมีสิทธิที่จะบังคับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวในข้อ 3 และหรือบังคับหนี้ตามสัญญานี้ก็ได้” และในข้อ 7ยังมีข้อความระบุไว้ว่า “…หากผู้รับโอนไม่ได้รับชำระหนี้จากผู้เช่าซื้อ และหรือได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วนไม่ว่าด้วยเหตุกรณีใด ๆ ก็ตามผู้โอนยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่ผู้รับโอนจนครบถ้วนตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวในข้อ 3″ อันเป็นการแสดงว่าการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย ประสงค์ที่จะให้ผู้เช่าซื้อเข้ามาร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในอันที่จะชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน หาใช่เป็นการให้หลักประกันดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า นอกจากหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย ร.4 (ค.2) ข้อ 3 จะได้ระบุไว้อย่างแจ้งชัดว่า การโอนสิทธิดังกล่าวเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านแล้วยังได้ความจากคำให้การของนายณรงค์ สงวนทรัพย์ทวี กรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนผู้คัดค้าน นายแก่นสาร ลันตะกุล กรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนจำเลยที่ 1 และนายทรงศักดิ์ พันธ์สถิตย์วงศ์ รักษาการผู้จัดการฝ่ายกฎหมายของผู้คัดค้าน ซึ่งทั้งสามคนได้ให้การเป็นพยานในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่างยืนยันว่าจำเลยที่ 1ได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องลงวันที่ 8 ธันวาคม 2526 ให้ไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ปรากฏตามคำให้การเป็นพยานในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกสารหมาย ร.7,ร.9 และ ร.12 ตามลำดับ นอกจากนั้นภายหลังการโอนสิทธิเรียกร้องตามเอกสารหมาย ร.4 (ค.2) ดังกล่าวแล้วผู้คัดค้านยังได้ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามหนังสือทวงถามเอกสารหมาย ร.5 อีก อันเป็นการสนับสนุนให้เป็นเด่นชัดว่า การโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวก็เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ หาใช่เพื่อเป็นการชำระหนี้ไม่ ส่วนตามเอกสารหมาย ร.4 (ค.2) ข้อ 8 และข้อ 7ตามที่ผู้คัดค้านฎีกาโต้เถียงนั้น เห็นว่า เป็นข้อสัญญาที่เกี่ยวกับความรับผิดของผู้โอนต่อผู้รับโอนในกรณีที่บังคับเอาจากหลักประกันได้ไม่ครบถ้วนเท่านั้น ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น อีกทั้งผู้คัดค้านไม่เคยเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับก่อน ๆ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระเงินให้ผู้คัดค้านเมื่อถูกทวงถามผู้คัดค้านจึงได้จัดการให้จำเลยที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อเพื่อเป็นหลักประกันในเวลาต่อมาซึ่งข้อนี้นายทรงศักดิ์ พันธ์สถิตย์วงศ์ รักษาการผู้จัดการฝ่ายกฎหมายของผู้คัดค้านก็ได้ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.12 ยอมรับว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ขาดสภาพคล่องในการหมุนเวียนเงินทุนจึงต้องทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องให้ไว้เป็นหลักประกัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า ผู้คัดค้านได้ทราบถึงสถานะการเงินที่ไม่มั่นคงของจำเลยที่ 1 ทราบว่า จำเลยที่ 1อยู่ในสภาพมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเป็นการรับโอนสิทธิเรียกร้องมาโดยไม่สุจริต ไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม เมื่อการโอนได้กระทำในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ย่อมขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ผู้คัดค้านฎีกาข้อต่อไปว่า หากศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องผู้คัดค้านควรต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อเพียงที่ได้รับมาแล้วจำนวน 3,164,253 บาท เท่านั้น ไม่ใช่ 6,761,375 บาทตามจำนวนค่าเช่าซื้อทั้งหมดในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้าน ย่อมมีผลให้สิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อที่ยังค้างชำระอยู่กลับคืนมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิม จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจากผู้เช่าซื้อต่อไปได้ ส่วนผู้คัดค้านคงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไว้แล้วตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อเท่านั้น ผู้คัดค้านไม่ต้องรับผิดในเงินค่าเช่าซื้อที่ยังมิได้รับชำระ… ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า เมื่อผู้คัดค้านรับโอนโดยไม่สุจริตซึ่งถูกศาลสั่งให้เพิกถอนการโอนไม่ชำระหนี้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้อง และที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำขอในส่วนดอกเบี้ยโดยผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าการเพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาทเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ก็ยังถือเป็นการโอนโดยชอบอยู่ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยตามขอ ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอน และการที่ศาลชั้นต้นให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยมากไปกว่าที่ผู้คัดค้านต้องรับผิดตามกฎหมาย เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำขอเรื่องดอกเบี้ยของผู้ร้องในกรณีชดใช้ราคาแทนทั้งหมดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านใช้เงิน 3,680,698 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share