คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของพยานเจ้าหนี้จะเปลี่ยนแปลงหรือสละคำขอรับชำระหนี้บางส่วนของเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะการให้การเป็นพยานถือไม่ได้ว่ากระทำแทนเจ้าหนี้ดังนี้เจ้าหนี้ต้องได้รับชำระหนี้ตามสิทธิที่ควรได้รับ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

คดีนี้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลยทั้งสอง)เด็ดขาดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2527 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้รายที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้(จำเลย) ที่ 1 ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เป็นเงิน 700,598.80บาท และยื่นคำร้องขอแก้เป็น 698,771.64 บาท โดยอ้างว่าลูกหนี้เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ปรากฏรายละเอียดตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้นัดบรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ 642,177.72 บาท แต่เจ้าหนี้ขอมาเพียง 598,771.64บาท จึงเห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ตามมาตรา 96 (3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 โดยมีเงื่อนไขว่าให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันตามสัญญาจำนอง หากได้รับชำระหนี้ขาดอยู่เป็นจำนวนเท่าใด ก็ให้มีสิทธิรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้(จำเลย) ที่ 1 ในส่วนที่ยังขาดอยู่ตามมาตรา 130 (8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงข้อเดียวว่าเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้เป็นเงินเท่าใดตามคำให้การของนายทองคำ บุญสูงพยานเจ้าหนี้ว่า ในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 เด็ดขาดคือวันที่ 27ธันวาคม 2527 ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 เป็นหนี้เจ้าหนี้ 598,771.64บาท ตามรายละเอียดบัญชีเอกสารหมาย จ.41 แต่ตามคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2528 ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2527 ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 เป็นหนี้698,771.64 บาท ส่วนที่ขอไว้จำนวน 700,598.80 บาทนั้นผิดไปเห็นได้ว่า ยอดหนี้ตามคำร้องและที่พยานเจ้าหนี้ให้การไม่ตรงกัน จะต้องมีการผิดพลาดเกิดขึ้นแน่ เพราะคำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้ก็เคยผิดพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งตามบัญชีเอกสารหมาย จ.41 ในวันที่ 27 ธันวาคม 2527 ก็ไม่มียอดหนี้ปรากฏให้เห็น พยานเจ้าหนี้ก็ไม่ได้อธิบายให้ชัดแจ้ง ดังนั้นจึงฟังไม่ได้แน่ชัดว่าคำขอรับชำระหนี้ผิดพลาดหรือคำให้การของพยานเจ้าหนี้ผิดพลาด จึงถือยอดหนี้จำนวนใดแน่ชัดไม่ได้ระหว่างยอดหนี้ 598,771.64 บาท 698,771.64 บาท แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยอมรับว่าลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 เป็นหนี้ หรือเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ 642,177.72 บาท ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ การที่พยานเจ้าหนี้ให้การว่าเจ้าหนี้มาขอรับชำระหนี้ 598,771.64 บาท เห็นได้ชัดว่าเป็นคำให้การที่ไม่ถูกต้อง ขัดกับคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้คำให้การของพยานเจ้าหนี้จะเปลี่ยนแปลงหรือสละคำขอรับชำระหนี้บางส่วนของเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะการให้การเป็นพยานถือไม่ได้ว่ากระทำแทนเจ้าหนี้ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ 598,771.64 บาท เจ้าหนี้ควรได้รับชำระหนี้ตามสิทธิที่ควรได้รับ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ 598,771.64 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาเจ้าหนี้ฟังขึ้นบางส่วน’
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้รายที่ 2 ได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันจำนวน 642,177.72 บาทจากกองทรัพย์สินของนางกิมไล้ เชาวน์พิศิษฎ์ ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1ตามมาตรา 96 (3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share