คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์สำแดงราคาสินค้าในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเท่ากับราคาสินค้าในบัญชีราคาสินค้าและหลักฐานเอกสารการชำระเงินให้แก่ผู้ขายและโจทก์นำสืบว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาแท้จริงจึงควรเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของราคาสินค้าซึ่งต้องใช้เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีอากร แต่พระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 2 นิยามคำว่า “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด”หมายความว่า ราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร)ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาและที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี โดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด ตามความหมายนี้ ราคาที่โจทก์ซื้อสินค้ามาโดยอ้างว่าเป็นราคาแท้จริง จึงมิใช่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเสมอไป แม้โจทก์จะนำสืบว่าเคยนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันมาก่อนในราคาเดียวกับการนำเข้าครั้งนี้ก็ปรากฏว่าเป็นการนำเข้าของโจทก์เองซึ่งซื้อจากผู้ขายรายเดียวกัน นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงให้เห็นว่าราคาขายเงินสด ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาที่นำเข้าและสถานที่ที่นำเข้าซึ่งเป็นความหมายของราคาอันแท้จริงในท้องตลาดว่าเป็นราคาเท่าใด ดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้านั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้า อันจะใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากรได้ จำเลยให้เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำเมืองฮ่องกง อันเป็นสถานที่ที่โจทก์สั่งซื้อสินค้าเข้ามา สืบราคาตามร้านใหญ่ ๆ หลายร้านราคาที่สืบได้ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน เมื่อนำมาเฉลี่ยแล้วราคาขายปลีกสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,974.87 เหรียญฮ่องกงคำนวณเป็นราคาขายส่งโดยคิดลดลง 20 เปอร์เซ็นต์เป็นราคาขายส่ง เอฟ.โอ.บี. กิโลกรัมละ3,180 เหรียญฮ่องกง อันถือเป็นราคาอันแท้จริงที่ซื้อขายกันคำนวณเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. โดยนำค่าขนส่งทางอากาศและค่าประกันภัยในบัญชีราคาสินค้าตามที่โจทก์สำแดงไว้ บวกเข้าไป ผลออกมาเป็นราคาซี.ไอ.เอฟ. กิโลกรัมละประมาณ 3,200 เหรียญฮ่องกง การหาราคาอันแท้จริงของจำเลยได้กระทำตามขั้นตอน มีการคิดคำนวณรายละเอียดต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและเป็นวิธีที่ถูกต้องน่าเชื่อถือเป็นการสืบหาราคาในเวลาที่ใกล้เคียงพอสมควรกับเวลาที่โจทก์นำเข้า ฟังได้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทกิโลกรัมละ 3,200เหรียญฮ่องกง มิใช่ราคากิโลกรัมละ 750 เหรียญฮ่องกง ดังที่โจทก์สำแดงราคาไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเขากวางอ่อนติดหัวกะโหลกจากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย โจทก์ใช้ราคาที่ซื้อขายกันโดยแท้จริงในท้องตลาดเป็นเกณฑ์คำนวณเสียภาษีอากร แต่จำเลยตีราคาสินค้าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีอากรจากโจทก์เพิ่มอีก ราคาสินค้าที่จำเลยกำหนดขึ้นเป็นเกณฑ์ตีราคานั้นมิใช่ราคาซื้อขายกันโดยแท้จริงในท้องตลาดตามความหมายของพระราชบัญญัติศุลกากร ขอให้เพิกถอนการตีราคาสินค้าและให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระเพิ่ม2,573,601.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์สมคบกับผู้ขายร่วมกันทำเอกสารสำแดงราคาให้ต่ำกว่าความจริง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรขาเข้า ฉะนั้นราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าทั้งหมดตามฟ้องจึงไม่อาจเชื่อถือได้ว่าเป็นราคาในการซื้อขายตามปกติวิสัยในทางการค้า ไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดที่แท้จริงในเวลาที่มีการนำเข้าสำเร็จเจ้าหน้าที่ของจำเลยประจำกงสุลไทยในเมืองฮ่องกงสืบราคาเขากวางอ่อนติดหัวกะโหลกจากพ่อค้าขายของชนิดนี้หลายแห่ง แล้วนำราคาที่สืบได้มารวมเฉลี่ยเพื่อหาราคาปานกลางซึ่งเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จำเลยนำราคาดังกล่าวมาใช้เป็นเกณฑ์การประเมินการประเมินชอบแล้ว ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยมีว่าการประเมินราคาสินค้าและภาษีอากรของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งจะต้องพิจารณาว่า ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทเป็นจำนวนเท่าใด โจทก์มีบัญชีราคาสินค้าเอกสารหมาย จ.1 จ.9 และจ.13 เป็นพยานเอกสาร ซึ่งมีข้อความว่า ราคาสินค้าพิพาทที่โจทก์ซื้อมาทั้ง 3 ครั้ง ราคากิโลกรัมละ 750 เหรียญฮ่องกง และโจทก์มีหลักฐานเอกสารการชำระเงินให้ผู้ขายหมาย จ.2 จ.3 เป็นจำนวนเงิน61,361.25 เหรียญฮ่องกง เท่ากับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย ล.1 หรือ จ.6 สำหรับสินค้าพิพาทรายแรกเอกสารการชำระเงินให้ผู้ขาย หมาย จ.7 จ.8 เป็นจำนวนเงิน160,473.75 เหรียญฮ่องกง เท่ากับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย ล.2 สำหรับสินค้าพิพาทรายที่สองและเอกสารการชำระเงินให้ผู้ขาย หมาย จ.14 จ.15 เป็นจำนวนเงิน 200,257.50 เหรียญฮ่องกง เท่ากับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า และแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย ล.3สำหรับสินค้าพิพาทรายที่สาม และโจทก์นำสืบว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาแท้จริงจึงควรเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทซึ่งต้องใช้เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีอากร เห็นว่าตามพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 2 ให้นิยามของคำว่า “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด” ไว้หมายความว่า ราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่นำของเข้าหรือส่งออก แล้วแต่กรณีโดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด ตามความหมายนี้ ราคาที่โจทก์ซื้อสินค้าพิพาทมาโดยอ้างว่าเป็นราคาแท้จริง จึงมิใช่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเสมอไป แม้โจทก์จะนำสืบว่า เคยมีการนำเข้าเขากวางอ่อนติดหัวกะโหลกมาก่อนในราคาเดียวกับการนำเข้าครั้งพิพาทนี้ตามเอกสารหมาย จ.19 และ จ.21 ก็ปรากฏว่าเป็นการนำเข้าของโจทก์เอง และบริษัทวิงตั๊กฮิงเป็นผู้ขายเช่นเดียวกันนอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงให้เห็นว่าราคาขายสินค้าเงินสด ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้ โดยไม่ขาดทุนณ เวลาที่นำเข้าสินค้าพิพาท และสถานที่ที่นำเข้า ซึ่งเป็นความหมายของราคาอันแท้จริงในท้องตลาดว่าเป็นราคาเท่าใด จึงยังถือไม่ได้ว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย ล.1 ล.2 และ ล.3 นั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทจึงจะใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากรได้ ส่วนจำเลยนำสืบว่า ในขณะนั้น ไม่มีราคากลางสำหรับเปรียบเทียบกับราคาของสินค้าพิพาท จำเลยจึงได้ให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยประจำเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นสถานที่ที่โจทก์สั่งซื้อสินค้าพิพาทเข้ามา สืบราคาเขากวางอ่อนติดหัวกะโหลก นายวรชัย ศิริสุทธิกุล ซึ่งขณะนั้นรับราชการในตำแหน่งกงสุลฝ่ายศุลกากร ณ เมืองฮ่องกง พยานจำเลยเบิกความว่า พยานได้ออกสืบราคาสินค้าเขากวางอ่อนติดหัวกะโหลกตามร้านใหญ่ ๆ ของฮ่องกง จำนวนหลายร้าน เป็นห้างสรรพสินค้าของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนอันเป็นต้นกำเนิดของสินค้าดังกล่าวและร้านขายยา ราคาที่สืบได้ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน พยานได้ทำบันทึกไว้ตามเอกสาร ล.4 ปรากฏว่า ราคาเฉลี่ยขายปลีกเขากวางอ่อน เกรด 3อันเป็นราคาต่ำสุดราคาตำลึงละ 102,857 เหรียญฮ่องกง ซึ่งเมื่อคิดเทียบเป็นกิโลกรัมแล้ว จะเป็นราคากิโลกรัมละ 2,742.85เหรียญฮ่องกง ดังนั้น ที่โจทก์สำแดงราคากิโลกรัมละ 750 เหรียญฮ่องกงแตกต่างกันมาก จึงไม่น่าเชื่อว่าราคาที่โจทก์สำแดงนั้นเป็นราคาซื้อขายอันแท้จริง นายประยูร แตงทรัพย์ และนางปรียา เสนาสุขพยานจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้คิดคำนวณราคาขาดส่งจากราคาขายปลีกที่สืบได้จากเมืองฮ่องกง เบิกความถึงวิธีคิดหาราคาเฉลี่ยและราคาขายส่ง เอฟ.โอ.บี. ประกอบกับเอกสาร ล.6 ปรากฏว่าราคาขายปลีกสินค้าพิพาทเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3,974.87 เหรียญฮ่องกงคำนวณเป็นราคาขายส่งโดยคิดลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นราคาขายส่ง เอฟ.โอ.บี.กิโลกรัมละ 3,180 เหรียญฮ่องกง อันถือว่าเป็นราคาอันแท้จริงที่ซื้อขายกัน และนางดวงพร จิรกาลวิศัลย์ เจ้าหน้าที่ประเมินอากร 6 พยานจำเลยก็เบิกความว่า เนื่องจากราคาที่คำนวณได้ดังกล่าวเป็นราคา เอฟ.โอ.บี. พยานจึงได้คำนวณเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ.โดยนำค่าขนส่งทางอากาศ และค่าประกันภัยในบัญชีราคาสินค้าตามที่โจทก์สำแดงไว้ บวกเข้าไปผลออกมาเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. กิโลกรัมละประมาณ 3,200 เหรียญฮ่องกง เห็นว่าการหาราคาอันแท้จริงของจำเลยได้กระทำตามขั้นตอน มีการคิดคำนวณรายละเอียดต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและเป็นวิธีที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ และเป็นการสืบหาราคาในเวลาที่ใกล้เคียงพอสมควรกับเวลาที่โจทก์นำเข้า พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาท กิโลกรัมละ 3,200 เหรียญฮ่องกง เป็นราคาที่ถูกต้อง จำเลยประเมินราคาสินค้าพิพาทใหม่โดยถือราคาดังกล่าวเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงชอบแล้ว และจำเลยชอบที่จะประเมินภาษีอากรโดยถือเอาราคาดังกล่าวเป็นเกณฑ์คำนวณในการประเมินได้ดังนั้น การประเมินราคา และภาษีอากรของจำเลย จึงชอบด้วยกฎหมายที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share