แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ปัญหาที่ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านจะยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วกันเงินกึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสี่ให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ได้หรือไม่นั้นแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกเป็นข้อคัดค้านในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านย่อมยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153 เมื่อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยมีบ้านเลขที่ 113/10ปลูกคร่อมอยู่โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องทั้งสี่ได้ครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนใดมาก่อน แสดงว่าผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยมิได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดผู้คัดค้านซึ่งมีหน้าที่จัดการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยจึงมีสิทธิยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเพื่อนำออกขายทอดตลาดได้ จะเจาะจงให้ผู้คัดค้านยึดเฉพาะส่วนของจำเลยและให้ขายทอดตลาดเฉพาะส่วนของจำเลยไม่มีทางจะกระทำได้ เรื่องเช่นนี้ แม้แต่ในกรณีระหว่างผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ถ้าการแบ่งกันเองไม่อาจทำได้หรือจะเสียหายมากนัก ศาลก็ต้องสั่งให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 วรรคสอง เมื่อผู้คัดค้านยืนยันให้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจึงชอบที่จะปฏิบัติไปตามนั้นและผู้ร้องทั้งสี่ย่อมมีทางจะร้องขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในทางการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ผู้คัดค้านยึดที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 20134และ 20135 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ซึ่งมีชื่อจำเลยและผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม และร้องขอเพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างจำเลยกับผู้ร้องที่ 2ถึงที่ 4 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเฉพาะส่วนในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยให้โอนเป็นชื่อจำเลยทั้งหมด
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 20134และ 20135 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ผู้คัดค้านยึดไว้ เป็นสินสมรสของนายปรีชา มีสัจจีกับจำเลยซึ่งเป็นบิดามารดาผู้ร้องทั้งสี่ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของนายปรีชากึ่งหนึ่ง นายปรีชากับจำเลยจดทะเบียนหย่าและทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนการหย่าโดยตกลงยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงได้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนของนายปรีชากึ่งหนึ่งผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอกันส่วนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของนายปรีชากึ่งหนึ่งที่ได้ยกให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้องโดยอ้างเหตุว่าแม้นายปรีชากับจำเลยได้ทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนการหย่าโดยตกลงยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ แต่เมื่อการให้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้ร้องทั้งสี่ไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ผู้ร้องทั้งสี่เห็นว่าบันทึกข้อตกลงยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยกับผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 4แต่ศาลอุทธรณ์ก็มิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ผู้ร้องทั้งสี่ร้องขอกันส่วนมิใช่เป็นของนายปรีชา ขอให้มีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านกันส่วนตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสี่ออกจากกองทรัพย์สินของจำเลยโดยใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 20134และ 20135 ดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า บันทึกต่อท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างนายปรีชา มีสัจจีกับจำเลยมิได้ตกลงยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอันจะถือเป็นการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยา แต่ตกลงยกให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตร แม้จำเลยจะได้จดทะเบียนโอนใส่ชื่อผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยแต่การโอนถูกเพิกถอนโดยคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอุทธรณ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจึงกลับคืนมาเป็นของจำเลยกับนายปรีชาเมื่อการให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนของนายปรีชามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ย่อมไม่สมบูรณ์ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของนายปรีชา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่
ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ผู้ร้องทั้งสี่ได้รับกันส่วนกึ่งหนึ่งตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสี่ออกจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสี่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 20134, 20135ตำบลวังทองหลาง อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้คัดค้านเพียงว่า ผู้คัดค้านจะยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด เพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วกันเงินกึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสี่ให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ได้หรือไม่ ผู้คัดค้านอ้างว่า ที่ดินทั้งสองแปลงมีบ้านเลขที่ 113/10 ปลูกคร่อมอยู่ และไม่ปรากฏหลักฐานใดแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องทั้งสี่ได้ครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนใดมาก่อน กรณีไม่อาจแยกได้ว่าทรัพย์ส่วนใดเป็นของผู้ร้องทั้งสี่จึงต้องถือว่าผู้ร้องทั้งสี่และจำเลยเป็นเจ้าของรวม เห็นว่า ข้ออ้างตามฎีกาผู้คัดค้านแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกเป็นข้อคัดค้านในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านย่อมยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 และตามฎีกาผู้คัดค้านไม่มีประเด็นโต้เถียงว่า ผู้ร้องทั้งสี่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนของนายปรีชาหรือไม่ เพราะผู้คัดค้านยอมรับในฎีกาว่า ผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างผู้คัดค้านจะกันส่วนเงินกึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสี่ เมื่อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมและตามฎีกาผู้คัดค้านได้ความว่า ที่ดินทั้งสองแปลงมีบ้านเลขที่ 113/10ปลูกคร่อมอยู่ โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องทั้งสี่ได้ครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนใดมาก่อนแสดงว่า ผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยมิได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดและผู้ร้องทั้งสี่ก็มิได้แก้ฎีกาให้เห็นเป็นอย่างอื่น ผู้คัดค้านซึ่งมีหน้าที่จัดการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยจึงมีสิทธิยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเพื่อนำออกขายทอดตลาดได้ จะเจาะจงให้ผู้คัดค้านยึดเฉพาะส่วนของจำเลยและให้ขายทอดตลาดเฉพาะส่วนของจำเลยไม่มีทางจะกระทำได้ เรื่องเช่นนี้ แม้แต่ในกรณีระหว่างผู้ร้องทั้งสี่กับจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ถ้าการแบ่งกันเองไม่อาจทำได้หรือจะเสียหายมากนัก ศาลก็ต้องสั่งให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคสอง เมื่อผู้คัดค้านยืนยันให้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด จึงชอบที่จะปฏิบัติไปตามนั้น และผู้ร้องทั้งสี่ย่อมมีทางจะร้องขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในทางการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้กันส่วนกึ่งหนึ่งตามสิทธิของผู้ร้องทั้งสี่ออกจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสี่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 20134 และ 20135 ตามคำร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้คัดค้านฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง