คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินชายตลิ่งซึ่งมีน้ำท่วมถึงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ผู้ใดจะอ้างสิทธิครอบครองหาได้ไม่ แม้จำเลยจะได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวนั้นจากโจทก์มา โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับขับไล่จำเลยตามสัญญาเช่านั้นได้
ที่ดินชายตลิ่งตรงที่จำเลยปลูกโรงเรือนอยู่ทางด้านกว้างของที่ดินโจทก์ตอนริมคลองบอด เป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองบอด ทำให้ที่ดินโจทก์ทางด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้างโจทก์ผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกบังหน้าที่ดินทางด้านริมคลองเช่นนี้ ย่อมมีสิทธิที่จะให้จำเลยปฏิบัติเพื่อขจัดการนั้นให้สินไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1337 ถึงหากว่าโรงเรือนของจำเลยจะไม่ปิดบังหน้าที่ของโจทก์ทางด้านถนนหลวงก็ดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่าที่ดินของโจทก์ตอนหนึ่งทางทิศตะวันออก เนื้อที่ ๑๕๐ ตารางวา เพื่อปลูกบ้านอาศัยมีกำหนด ๑ ปี ค่าเช่า ๓๐๐ บาท จำเลยปลูกสร้างบ้านบางส่วนออกไปในที่ชายตลิ่งของคลองบอดซึ่งติดต่อเป็นผืนเดียวกับที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่ ตามสัญญา โรงเรือนซึ่งจำเลยทำลงไว้ในที่เช่าต้องตกเป็นของโจทก์ บัดนี้เลย กำหนดสัญญาเช่าแล้วโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป ได้บอกกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์เสียหายขาดประโยชน์เดือนละ ๑๐๐ บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปเพราะหมดอายุสัญญาเช่าและปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑๐๐ บาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เช่าที่ดินโจทก์ที่ดินปลูกบ้านจำเลยเป็นที่ชายตลิ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดิน บ้าเรือนจำเลยไม่ปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่ซึ่งจำเลยปลูกบ้านเป็นที่ชายตลิ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์ให้ผู้ใดเช่าไม่ได้ บ้านเรือนจำเลยไม่ปิดบังที่ดินโจทก์เพราะที่ดินโจทก์ส่วนใหญ่จดถนนหลวงอยู่แล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพากทเป็นที่ดินชายตลิ่งซึ่งมีน้ำท่วมถึง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และเห็นว่าที่สาธารณสมบัติเช่นนี้ ผู้ใดจะอ้างสิทธิครอบครองหาได้ไม่ แม้จำเลยจะได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับขับไล่จำเลยตามสัญญาเช่าในเมื่อที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติดังได้วินิจฉัยมา เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเอาที่สาธารณสมบัติให้เช่าอ้างว่าเป็นที่ดินของตนได้
ส่วนฎีกาโจทก์ที่ว่า โรงเรือนของจำเลยปลูกในที่สาธารณปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์นั้นปรากฎว่าที่ชายตลิ่งตรงที่จำเลยปลูกโรงเรือนอยู่ทางด้านกว้างของที่ดินโจทก์ตอนริมคลองบอดเป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองบอด ทำให้ที่ดินโจทก์ทางด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้าง เห็นได้ชัดตามแผนที่พิพาท การที่จำเลยใช้สิทธิ-ปลูกเรือนโรงลงในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกบังหน้าที่ดินทางด้านริมคลองเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะให้จำเลยปฏิบัติเพื่อขจัดการนั้นให้สิ้นไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๗ ถึงหากว่าโรงเรือนของจำเลยจะไม่ปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ทางด้านถนนหลวงก็ดี
พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนของจำเลยอย่าให้เป็นที่ปิดบังกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ทางด้านริมคลองบอดนั้นต่อไป สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ขอมาเป็นค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้ซึ่งเป็นความมุ่งหมายเรื่องค่าเช่า หาใช่ค่าเสียหายเรื่องปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ไม่ จึงไม่บังคับให้

Share