แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างต่อนายทะเบียนไว้แล้วก่อนจะถูกโจทก์ฟ้องให้ล้มละลายแต่การชำระบัญชีก็ยังไม่เสร็จ ถือได้ว่าสภาพนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ยังคงมีอยู่ต่อไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่โดยตรงต่อศาลฎีกา แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 แต่ข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ย่อมต้องห้าม อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาลศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่เฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วน จำกัด จำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นผู้จำนองค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2529 ศาลจังหวัดสวรรคโลกมีคำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 321/2529 ให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน 1,162,015.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 991,757.84 บาท นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 23 พฤษภาคม 2539) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ในวันเดียวกันศาลจังหวัดสวรรคโลกมีคำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 320/2529 ให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน1,769,367.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน1,255,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 พฤษภาคม 2529) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งสองคดีจำเลยทั้งสามตกลงจะชำระหนี้ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นต้นไป หากจำเลยทั้งสามผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงให้ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่ศาลสั่งคืนและค่าทนายความทั้งสองคดีเป็นพับ หลังศาลมีคำพิพากษาจำเลยทั้งสามผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ยึดทรัพย์จำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดแล้วเมื่อหักหนี้และคิดบัญชีกันปรากฏว่าจำเลยทั้งสามยังค้างชำระหนี้จำนวน 2,780,344.33 บาท โจทก์ได้ติดตามทวงถามหนี้ที่ค้างชำระมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2534 โจทก์มอบให้ทนายความทวงถามหนี้ที่ค้างชำระให้จำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามได้รับหนังสือทวงถามหนี้แล้วแต่ก็ยังเพิกเฉย โจทก์ให้พนักงานติดตามสืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามแล้วไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอื่นใดจำเลยทั้งสามจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย
จำเลยทั้งสามไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ประกอบมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยที่ 1ได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดต่อนายทะเบียนไว้แล้วก่อนที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 บัญญัติว่า”ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้วก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี” ดังนี้จะเห็นได้ชัดว่าสภาพของนิติบุคคลจำพวกห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้วนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการจดทะเบียน และจะสิ้นสภาพลงนั้นกฎหมายบังคับให้กระทำโดยผู้ชำระบัญชี ทั้งนี้จะเห็นได้จากบทบัญญัติในมาตรา 1270 ซึ่งบัญญัติถึงหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ชำระบัญชีต้องกระทำ กล่าวคือเมื่อการชำระบัญชีกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทสำเร็จลงผู้ชำระบัญชีต้องทำรายงานการชำระบัญชีแสดงว่าการชำระบัญชีนั้นได้ดำเนินไปอย่างใดและได้จัดการทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นไปประการใดแล้วให้เรียกประชุมใหญ่เพื่อเสนอรายงานนั้นและชี้แจงกิจการต่อที่ประชุม เมื่อที่ประชุมใหญ่ได้ให้อนุมัติรายงานนั้นแล้วผู้ชำระบัญชีต้องนำข้อความที่ได้ประชุมกันนั้นไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันประชุมเมื่อได้จดทะเบียนแล้วดังนี้ให้ถือว่าเป็นที่สุดแห่งการชำระบัญชีจึงเห็นได้ว่าเมื่อเลิกห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้วกฎหมายได้บังคับให้ต้องมีผู้ชำระบัญชีมิฉะนั้นก็ไม่มีทางที่สภาพของนิติบุคคลนั้นจะสิ้นสุดลงโดยทางทะเบียนได้ เมื่อต้องมีผู้ชำระบัญชีแล้วการเลิกห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนก็ต้องมีการชำระบัญชีเพื่อทำหน้าที่ชำระสะสางการงานของห้างหุ้นส่วนให้เสร็จไปดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1250 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ยังไม่เสร็จและยังปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่าผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 คือจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับมาตรา 1252 ที่บัญญัติว่า หุ้นส่วนผู้จัดการหรือกรรมการบริษัทมีอำนาจโดยตำแหน่งเดิมฉันใด เมื่อเป็นผู้ชำระบัญชีก็ยังคงมีอำนาจอยู่ฉันนั้น ดังนั้น การที่ผู้ชำระบัญชีและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงถือได้ว่าสภาพนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1249 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ต้องห้ามอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่เฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ 1″
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นในส่วนที่ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อที่ว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนอกจากที่ยกคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น