แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาผู้เสียหายไปทำงานในร้านอาหารแต่กลับพาไปขายให้แก่ บ. เพื่อให้ค้าประเวณีจะนับว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยไม่ได้เพราะผู้เสียหายไม่ได้เต็มใจไปค้าประเวณีมาแต่ต้น แต่ไปกับจำเลยเพราะจำเลยหลอกลวงว่าจะพาไปทำงานที่ร้านขายอาหารของน้องสาวจำเลยและการที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายไปขายให้แก่บ. เพื่อให้ค้าประเวณี ก็เป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาที่จะล่อผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสอง และมาตรา 318 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสอง, 318 วรรคสาม
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคสนอง, 318 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกินสิบแปดปีจำคุก 10 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีเพื่อหากำไรและเพื่ออนาจารจำคุก 8 ปี รวมจำคุก 18 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาวคำหล้า กลิ่นสุคนธ์ ผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยชักชวนให้ไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารของน้องสาวจำเลยที่จังหวัดราชบุรี มีรายได้ดี และยังมีเงินพิเศษหรือค่าทิปอีกด้วย เมื่อผู้เสียหายไปด้วย จำเลยได้พาไปบ้านน้องสาวจำเลย ซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นร้านอาหาร หลังจากนั้นจำเลยกับน้องสาวจำเลยพาไปบ้านนายบุญยงค์ซึ่งมีผู้หญิงอยู่ในบ้านประมาณ 10 คน ต่อมาดี 4 ถึง 5 วัน นายบุญยงค์ให้ผู้เสียหายไปค้าประเวณีโดยบอกว่าจำเลยได้พาผู้เสียหายมาขายให้แก่นายบุญยงค์แล้ว ผู้เสียหายไม่ได้พูดอะไรเพราะกลัวนายบุญยงค์ หลังจากนั้นมีคนขับรถมารับส่งไปรับแขกทุกวัน โดยแขกจะให้เงินไว้กับนายบุญยงค์ และโจทก์มีนางดวงดาว แสงนุ่มน้าผู้เสียหายเบิกความสนับสนุน ร้อยตำรวจเอกสุพจน์ มัจฉาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ป.จ.2 จำเลยเบิกความว่า ผู้เสียหายขอให้ทำงานให้ทำที่จังหวัดราชบุรี จำเลยจึงพาไปที่บ้านนางยุภาและเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า ให้การชั้นสอบสวนโดยไม่สมัครใจส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวในเอกสารหมาย ป.จ.2 นั้นถูกต้อง เห็นว่า จำเลยเบิกความรับว่าเป็นผู้พาผู้เสียหายไปจังหวัดราชบุรี จึงเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ จำเลยเองก็รับว่ารายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวถูกต้อง ประกอบกับร้อยตำรวจเอกสุพจน์พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน น่าเชื่อว่าจดบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย ป.จ.2 ไปตามที่จำเลยให้การ ซึ่งบันทึกคำให้การดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ชักชวนผู้เสียหายไปโดยหลอกลวงว่าจะพาไปทำงานที่ร้านอาหารของน้องสาวจำเลยแล้วพาไปขายให้แก่นายบุญยงค์เพื่อค้าประเวณี ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยและจำเลยไม่ได้มีเจตนาจะล่อลวงผู้เสียหายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาผู้เสียหายไปทำงานในร้านอาหารแต่กลับพาไปขายให้แก่นายบุญยงค์เพื่อให้ค้าประเวณี จะนับว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยไม่ได้ เพราะผู้เสียหายไม่ได้เต็มใจไปค้าประเวณีมาแต่ต้นแต่ไปกับจำเลยเพราะจำเลยหลอกลวงว่าจะพาไปทำงานที่ร้านขายอาหารของน้องสาวจำเลยและการที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายไปขายให้แก่นายบุญยงค์เพื่อให้ค้าประเวณีก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะล่อผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย จำเลยจึงต้องมีความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน