คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2946/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ซึ่งให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยไม่ได้ต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น คดีนี้เป็นเรื่องชั้นบังคับคดีซึ่งมีประเด็นว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามกันว่าผู้ร้องนำสืบฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านพิพาท มิใช่บริวารของจำเลย จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับบริวารของจำเลยให้ออกไปจากที่ดินโจทก์ ดังนั้นเมื่อคู่ความในคดีเดิมต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงด้วยตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรค 3.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อบ้านเลขที่ 161/2ถนนโกสีย์ ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป คดีถึงที่สุด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านดังกล่าว มิใช่บริวารของจำเลยและโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ร้องให้ออกจากบ้านและที่ดินพิพาทเป็นอีกคดีหนึ่งแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการรื้อบ้านดังกล่าวจนกว่าคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ร้องจะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ตามคำร้องกรณีไม่มีเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292, 293 ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
โจทก์ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องนำสืบฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 161/2 มิใช่บริวารของจำเลยพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้สืบเนื่องจากคดีเดิมที่โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ถนนโกสีย์ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ที่ดินของโจทก์นี้เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับที่ดินบริเวณใกล้เคียงกันคือที่ดินที่โจทก์ให้นางจำรัส ศรีรัตนาภิรมย์ และผู้ร้องเช่าปลูกบ้าน 2 หลัง ค่าเช่ารวมกันเพียงปีละ 500 บาทแล้ว ย่อมเห็นได้ว่า ขณะยื่นฟ้องที่ดินของโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ5,000 บาท ในคดีเดิมจำเลยไม่ได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น สำหรับคดีนี้เป็นเรื่องชั้นบังคับคดีซึ่งมีประเด็นว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องมิใช่บริวาร (ที่ถูกน่าจะเป็นบริวาร) ของจำเลย พิพากษายกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับบริวารของจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ดังนั้น เมื่อคู่ความในคดีเดิมต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ฎีกาของผู้ร้องที่ว่า ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของผู้ร้อง.

Share