แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ใช้ปืนยิงผู้ที่กำลังขี่และจูงกระบือไป โดยเข้าใจผิดว่าผู้นั้นเป็นคนร้ายลักกระบือซึ่งตนติดตามมา ในเวลากลางคืน ตรงที่ป่ามีต้นไม้มืดแต่ผู้นั้นมิได้แสดงกิริยาต่อสู้ เป็นการป้องกันทรัพย์เกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา249,60,53
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างพระอาทิตย์ตกวันที่ 12 มิถุนายน 2498 ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นวันที่ 13 มิถุนายน 2498 อันเป็นเวลากลางคืนตามกฎหมาย จำเลยได้ใช้สาตราวุธปืนยิงนายสรวง ยิ้มเนียม 2 นัด โดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย แต่มีเหตุพ้นวิสัยมาขัดขวาง เพราะกระสุนปืนไม่ถูกที่สำคัญ นายสรวง ยิ้มเนียม จึงไม่ถึงแก่ความตายเหตุเกิดที่ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 44, 60
จำเลยให้การว่า มิได้เจตนาจะฆ่านายสรวง จำเลยยิงนายสรวง โดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง คิดว่านายสรวงเป็นคนร้ายลักกระบือ ซึ่งจำเลยกำลังติดตามอยู่และมาพบเวลานายสรวงกำลังพาเดินทาง เพื่อป้องกันมิให้นายสรวงเอากระบือไปได้ เป็นการขาดเจตนาฐานพยายามฆ่าคน ทั้งการกระทำของจำเลยเป็นข้อแก้ตัวได้ตามกฎหมาย ขอให้ศาลยกฟ้อง
ทางพิจารณาได้ความตามคำพยานโจทก์ว่า คืนเกิดเหตุเวลาราว 3.00 น. เศษ นายสรวงเจ้าทุกข์นำกระบือไป 2 ตัว ตัวหนึ่งนายสรวงขี่หลังอีกตัวหนึ่งจูงไป เพื่อจะเทียมเกวียนขนข้าวที่บ้านนายเลี่ยมไปสีที่อำเภอสรรค์บุรี พอมาถึงห่างบ้านนายเลี่ยมประมาณ 1 เส้นเห็นคนเดินสวนทางมายืนอยู่ห่างนายสรวงราว 10 วา เอาไฟฉายมาที่กระบือนายสรวงขี่ แล้วร้องถามว่าจะขี่ควายไปไหน หยุดก่อนนายสรวงตอบว่าจะนำควายมาเอาเกวียนไปสีข้าว พอนายสรวงพูดขาดคำก็มีเสียงปืนดังมา 2 นัด จากทางคนร้องทัก ถูกนายสรวงที่แขน 2 ข้างที่คอและที่ตานายสรวงพลัดตกจากหลังกระบือ นายสรวงร้องเรียกนายเลี่ยมให้ช่วยนายเลี่ยมออกมาถามว่าใครยิง จำเลยร้องบอกว่าเขาเป็นคนยิงเอง นายเลี่ยมไปตามนายวานผู้ใหญ่บ้านมา จำเลยบอกนายวานว่า เขายิงเอง เพราะเข้าใจว่า เป็นขโมยลักควายมา นายสรวงรักษาบาดแผลอยู่เดือนเศษจึงหาย แต่ไม่เป็นปกติดังเดิม
จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุเวลาราว 24.00 น. กระบือของนายเรือง ปู่จำเลยหายไป 2 ตัว จึงช่วยกันออกติดตาม จำเลยกับนายสุ่มไปด้วยกันทางหนึ่ง พบคนขี่กระบือสวนทางมา นายสุ่มส่องไฟฉายเห็นกระบือ 2 ตัว คล้ายกับกระบือของนายเรืองที่หาย ขนาดก็เท่ากันจำเลยเข้าใจว่า เป็นกระบือของนายเรืองแน่ จึงได้วิ่งเข้าไปร้องถามว่า ใครขี่ควายไปไหน หยุดก่อน คนขี่กระบือไม่หยุด แต่เลี้ยงซ้ายแยกลงถนน ขณะนั้นเป็นเวลาเดือนมืด จำเลยคิดว่าคนนั้นพากระบือหนีจึงใช้กระสุนปืนลูกซองยิงไป 2 นัด เมื่อจำเลยเข้าไปดู ปรากฎว่าไม่ใช่กระบือของนายเรืองที่หาย จำเลยได้ให้เงินแก่ผู้เสียหายเป็นค่าหมอค่ายา 4,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยยิงนายสรวงผู้เสียหายโดยความเข้าใจผิดคิดว่า นายสรวงเป็นคนร้ายลักกระบือ ซึ่งจำเลยกำลังติดตามมา จำเลยจึงมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 60, 44 พิพากษาจำคุกจำเลย 10 ปี แต่เมื่อจำเลยรู้ว่ายิงผิดตัวผู้ถูกยิงมิใช่ผู้ร้ายแล้วก็รับทันที และรออยู่จนผู้ใหญ่บ้านมาทำการจับกุม ทั้งได้ออกเงินค่ายาให้ผู้เสียหายด้วย จำเลยควรได้รับความปรานีอย่างมาก จึงลดโทษให้ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า เหตุเกิดเวลากลางคืนดึกมากแล้วประกอบกับมีการลักโคกระบือกันชุกชุม ย่อมยากที่จะให้จำเลยใช้เวลาพินิจพิจารณาถี่ถ้วนได้ว่าผู้เสียหายเป็นคนดีหรือร้าย จะมีอาวุธทำร้ายตอบจำเลยบ้างหรือไม่ พฤติการณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ย่อมเป็นข้อแก้ตัวได้ แต่กรณีเป็นเรื่องป้องกันทรัพย์เกินสมควรแก่เหตุ ความผิดของจำเลยจึงต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 60 แต่กรณีเป็นการที่กระทำเกินสมควรแก่เหตุต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 53 ควรพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี และอนุญาตให้จำเลยฎีกาได้
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว ทางพิจารณาคงได้ความตามคำพยานโจทก์จำเลยดังกล่าวข้างต้น จำเลยได้ออกติดตามกระบือของนายเรืองปู่จำเลย ที่หายไปในคืนเกิดเหตุ และเฉพาะผู้เสียหายก็พากระบือไปเทียมเกวียนในระยะเวลาไร่เรี่ยกัน จำเลยพบผู้เสียหายขี่หลังและจูงกระบือไป จึงได้ฉายไฟส่องดู เห็นมีลักษณะคล้ายคลึงกับกระบือที่หายไป คือสีดำเหมือนกัน เล็กตัวใหญ่ตัวเหมือนกันขนาดก็เท่ากัน ตัวใหญ่เขาลอง ตัวเล็กเขาสั้น จะให้จำเลยเข้าไปดูจนถ้วนถี่แน่ใจจนใกล้ชิดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะอาจเป็นภัยต่อจำเลย ตรงที่เกิดเหตุก็เป็นป่ามีต้นไม้ ประกอบด้วยความมืดเป็นเครื่องกำบัง โคกระบือตำบลนั้นถูกขโมยลักแทบทุกคืน ติดตามได้คืนน้อยราย จำเลยจึงร้องถามไป ตามคำของผู้เสียหายว่า พอเลี้ยวกระบือลงถนน จำเลยก็ร้องถามและบอกให้หยุด แต่การลงถนนนั้นกระบือจะต้องลงเร็วกว่าธรรมดา เพราะถนนตรงนั้นชัน จำเลยคิดว่าผู้นั้นจะพากระบือหนี จึงได้ยิงผู้เสียหายตกจากหลังกระบือ ต่อเมื่อจำเลยเข้าไปใกล้เอาไฟฉายส่องดูจึงรู้ว่าไม่ใช่กระบือของนายเรือง ดังนี้ได้ชื่อว่าจำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 62 และการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์ แต่ได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ และเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 53 เพราะไม่ปรากฎว่าผู้เสียหายได้แสดงกิริยาต่อสู้หรือคุกคามจำเลยแต่ประการใด ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์เกินสมควรแก่เหตุ ให้จำคุกจำเลยไว้ 1 ปี ตามความเห็นแย้งของศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยต้องขังมาพอกับโทษแล้วให้ปล่อยตัวไป