แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาผู้ร้องมิได้บรรยายว่า ถ้าโจทก์ชนะคดีจำเลยในคดีดำที่ 255/2509แล้วจะมีผลลบล้างคดีร้องขัดทรัพย์นี้ได้อย่างไร หรือด้วยเหตุผลอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ส่วนฎีกาที่อ้างว่าเรือนพิพาทเป็นโรงเรือนชั่วคราว เจ้าพนักงานไม่ยอมจดทะเบียนให้เพราะไม่ถือว่าเป็นอาคารนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องจะฎีกาไม่ได้ เพราะคดีร้องขัดทรัพย์นี้มีทุนทรัพย์เพียง 4,000 บาท
โจทก์ให้การต่อสู้แล้วว่า การมอบเรือนพิพาทไม่มีผลตามกฎหมายเพราะมิได้จดทะเบียนหรือทำนิติกรรมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ดังนี้ หาได้ต่อสู้แต่เพียงว่าผู้ร้องกับจำเลยสมยอมกันเท่านั้นไม่ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ถอนการยึดเรือน 1 หลัง ราคาประมาณ 4,000 บาท ที่โจทก์นำยึด โจทก์ให้การว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 5-6 เป็นปัญหาข้อกฎหมายให้รับฎีกา
ฎีกาข้อ 5 ของผู้ร้องมีว่า ตามอุทธรณ์ข้อ 5 ผู้ร้องได้อุทธรณ์มาด้วยว่าคดีนี้มีผลเกี่ยวพันกับคดีแพ่งระหว่างโจทก์จำเลยนี้ตามคดีดำที่ 255/2509 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถ้าโจทก์ชนะคดีนั้นย่อมมีผลลบล้างคดีนี้ทั้งหมด แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อนี้ จึงขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัย
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฎีกาข้อ 5 ผู้ร้องมิได้บรรยายว่า ถ้าโจทก์ชนะคดีจำเลยในคดีดำที่ 255/2509 แล้วจะมีผลลบล้างคดีนี้ได้อย่างไรหรือด้วยเหตุผลอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรค 1 ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้
ส่วนฎีกาข้อ 6 ในวรรค 1-2 อ้างว่า เรือนพิพาทเป็นโรงเรือนชั่วคราวเจ้าพนักงานไม่ยอมจดทะเบียนให้ เพราะไม่ถือว่าเป็นอาคารนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องจะฎีกาไม่ได้ เพราะคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 4,000 บาท
ส่วนความในวรรค 3 ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาข้อกฎหมายขึ้นชี้ขาดคดีโดยโจทก์มิได้ให้การต่อสู้ และไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีเพราะโจทก์เพียงแต่อ้างว่าเป็นการสมยอมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเท่านั้น ข้อนี้โจทก์ให้การต่อสู้อยู่แล้วว่า การมอบเรือนพิพาทไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนหรือทำนิติกรรมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นโมฆะ หาได้ต่อสู้แต่เพียงว่าผู้ร้องกับจำเลยสมยอมกันเท่านั้นไม่
พิพากษายืน