คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2911/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การต่อสู้คดีที่ว่าสัญญากู้เป็นเอกสารปลอม โดยไม่อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ว่าปลอมอย่างไร เช่น เป็นการปลอมเอกสารทั้งฉบับหรือปลอมเพียงบางส่วน ซึ่งจำเลยต้องแสดงให้ชัดแจ้งไว้ในคำให้การไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจำเลยจึงไม่มีสิทธินำสืบพยานบุคคลตามข้อต่อสู้นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้สืบพยานบุคคลของจำเลยมาแล้วก็ไม่อาจรับฟังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอศาลบังคับจำเลยให้ชำระเงินกู้คืนแก่โจทก์ 236,250บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 200,000 บาทนับถัดจากวันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องสัญญากู้ยืมตามสำเนาท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 36,250 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยลงลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 มอบให้โจทก์ยึดถือไว้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้เป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้องจากจำเลย จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง หนังสือสัญญากู้ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม เห็นได้ชัดว่า จำเลยต่อสู้คดีเรื่องสัญญากู้เป็นเอกสารปลอมเป็นประเด็นสำคัญ ข้อที่ว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินจากโจทก์ไม่ทำให้มีความหมายเปลี่ยนประเด็นเป็นอย่างอื่น คำให้การต่อสู้คดีที่ว่าสัญญากู้เป็นเอกสารปลอมโดยไม่อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ว่าปลอมอย่างไร เช่น เป็นการปลอมเอกสารทั้งฉบับหรือปลอมเพียงบางส่วนซึ่งจำเลยต้องแสดงให้ชัดแจ้งไว้ในคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ฉะนั้น เมื่อจำเลยไม่อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธย่อมเป็นการไม่ชอบตามกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธินำสืบพยานบุคคลตามข้อต่อสู้นั้น แม้ศาลชั้นต้นได้สืบพยานบุคคลของจำเลยมาแล้วก็ไม่อาจรับฟังได้”
พิพากษายืน

Share