คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2908/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จ. ผู้เอาประกันภัย เช่าซื้อรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้มาจากธนาคาร ธ. หากรถยนต์สูญหายไปโจทก์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ธนาคาร ธ. เจ้าของกรรมสิทธิ์และเป็นผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย ส่วนเหตุที่กรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับประกันภัยของโจทก์หลงลืมระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ และยังคงยืนยันว่าผู้รับผลประโยชน์คือธนาคาร ธ. ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์กับ จ. มีข้อโต้แย้งกันในเรื่องที่โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ธนาคาร ธ. จึงฟังได้ว่า จ. ยินยอมให้โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ธนาคาร ธ. โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจประเภทศูนย์การค้าโดยแบ่งพื้นที่ภายในศูนย์การค้าให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อทำการค้า และจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่อความสะดวกของผู้เช่าพื้นที่และลูกค้าที่มาใช้บริการ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายสินค้าหรือให้บริการต่างๆ ให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 โดยตรง แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบกิจการเช่นว่าย่อมต้องให้ความสำคัญในด้านบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาคารและการใช้สถานที่ศูนย์การค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการในเรื่องของที่จอดรถซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการตัดสินใจของลูกค้าว่าจะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 ซึ่งปัจจัยข้อนี้มีผลโดยตรงต่อจำนวนลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้แจกบัตรจอดรถ ไม่เรียกเก็บค่าบริการจอดรถ บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 ก็สามารถนำรถเข้าจอดได้ ไม่ต้องฝากกุญแจรถไว้กับพนักงานของจำเลยที่ 1 หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อที่จอดรถเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการประกอบกิจการศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารสถานที่เป็นผู้ประกอบกิจการศูนย์การค้าขนาดใหญ่จึงต้องคำนึงถึงและมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยรถของลูกค้าที่มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการตามสมควร มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าผู้มาใช้บริการต้องเป็นฝ่ายระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเองในระหว่างที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆ ภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดูแลรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ได้ว่าจ้างให้ดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินของผู้เช่าพื้นที่และลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้า บริเวณทางเข้าและทางออกลานจอดรถไม่มีการมอบและคืนบัตรจอดรถ ไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่ คงมีแต่เพียงกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้เพื่อบันทึกภาพรถเข้าและออก ซึ่งเห็นได้ว่าไม่สามารถป้องกัน ระงับ หรือยับยั้งการโจรกรรมรถยนต์ได้ เช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลย งดเว้น ไม่สอดส่อง ตรวจตรา ดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณลานจอดรถตามหน้าที่ตามสมควร เป็นเหตุให้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 สูญหายไป อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เอาประกันภัย
สำหรับจำเลยที่ 2 ได้ความตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัย ข้อ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ทำการรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ณ อาคารศูนย์การค้า ซ. แต่สัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยและเอกสารแนบท้ายหาได้ระบุให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินตลอดจนรถยนต์ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใดไม่ แม้ลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 จะทำให้เข้าใจได้ว่ามีการดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินรวมถึงรถยนต์ของลูกค้าด้วย แต่ความเข้าใจของลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการเช่นว่าไม่มีผลเป็นการก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยที่ 2 เกินไปกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างดูแลรักษาความปลอดภัยโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยสูญหายไป จำเลยที่ 2 จึงหาจำต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 860,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 850,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 860,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 850,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 ธันวาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2557 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ชศ 1717 กรุงเทพมหานคร ไว้จากนายจตุพงศ์ ระยะเวลาประกันภัยเริ่มต้นวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 สิ้นสุดวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 ตามกรมธรรม์ประกันภัย โดยนายจตุพงศ์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวมาจากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบกิจการศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ โดยแบ่งพื้นที่ให้บุคคลเช่าประกอบการค้า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 1 ประกอบกิจการให้บริการรักษาความปลอดภัย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้ทำการรักษาความปลอดภัยศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2557 เวลาประมาณ 14 นาฬิกา นายจตุพงศ์ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเข้าไปจอดที่ลานจอดรถศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 เพื่อใช้บริการภายในศูนย์การค้าดังกล่าว โดยอ้างว่าเมื่อกลับมาที่จอดรถปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวสูญหายไปแล้ว โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีรถยนต์สูญหายจำนวน 850,000 บาท ให้แก่ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์รับช่วงสิทธิมาฟ้องจำเลยทั้งสองได้หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า กรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ไว้ จึงต้องถือว่านายจตุพงศ์ ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้รับผลประโยชน์ โจทก์ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายจตุพงศ์ ไม่ใช่ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เจ้าของกรรมสิทธิ์ เว้นแต่ ผู้เอาประกันภัยจะให้ความยินยอม โจทก์ไม่มีหลักฐานมาแสดงว่านายจตุพงศ์ยินยอมให้ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผลประโยชน์แทน นั้น เห็นว่า โจทก์มีนายธงชัย เป็นพยานเบิกความถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างนายจตุพงศ์กับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ว่า นายจตุพงศ์ ผู้เอาประกันภัย เช่าซื้อรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้มาจากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) หากรถยนต์สูญหายไปโจทก์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เจ้าของกรรมสิทธิ์และเป็นผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย สอดคล้องกับที่ระบุในสำเนารายการจดทะเบียนว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นายจตุพงศ์เป็นผู้ครอบครอง ตามสัญญาเช่าซื้อลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 กับที่นายจตุพงศ์ให้ถ้อยคำไว้ตามบันทึกถ้อยคำผู้เอาประกันภัย ส่วนเหตุที่กรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ นายธงชัยก็เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านอธิบายว่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับประกันภัยหลงลืมระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ และยังคงยืนยันว่าผู้รับผลประโยชน์คือธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าว แม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานมาแสดงว่านายจตุพงศ์ ผู้เอาประกันภัยยินยอมให้ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผลประโยชน์แทน แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์กับนายจตุพงศ์มีข้อโต้แย้งกันในเรื่องที่โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) แต่อย่างใด ทั้งจำเลยทั้งสองก็ไม่นำสืบพยานหลักฐานในเรื่องนี้หักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น เช่นนี้จึงฟังได้ว่านายจตุพงศ์ยินยอมให้โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าว โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปว่า จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยรถยนต์ของลูกค้าที่จอดในลานจอดรถของจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้ดูแลรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 ดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 สัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยระบุไว้อย่างชัดเจน และพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้แสดงพฤติการณ์ใดที่จะทำให้ลูกค้าที่นำรถยนต์เข้ามาจอดในลานจอดรถเข้าใจว่าจะดูแลรักษาความปลอดภัยรถยนต์ให้แต่อย่างใด นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจประเภทศูนย์การค้าโดยแบ่งพื้นที่ภายในศูนย์การค้าให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อทำการค้า และจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่อความสะดวกของผู้เช่าพื้นที่และลูกค้าที่มาใช้บริการ ตามที่นายอรุชา ลูกจ้างจำเลยที่ 1 เบิกความ และนายทวี พยานจำเลยทั้งสองอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่า ศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 มีที่จอดรถในอาคารประมาณ 2,900 คัน มีที่จอดรถภายนอกอาคารประมาณ 1,400 คัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ลักษณะทำนองเดียวกับห้างสรรพสินค้า แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายสินค้าหรือให้บริการต่างๆ ให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 โดยตรง แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบกิจการเช่นว่าย่อมต้องให้ความสำคัญในด้านบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาคารและการใช้สถานที่ศูนย์การค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการในเรื่องของที่จอดรถซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการตัดสินใจของลูกค้าว่าจะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 หรือไม่อย่างไร ซึ่งปัจจัยข้อนี้มีผลโดยตรงต่อจำนวนลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้แจกบัตรจอดรถ ไม่เรียกเก็บค่าบริการจอดรถ บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 ก็สามารถนำรถเข้าจอดได้ ไม่ต้องฝากกุญแจรถไว้กับพนักงานของจำเลยที่ 1 หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อที่จอดรถเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการประกอบกิจการศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 ตามที่วินิจฉัยมาข้างต้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารสถานที่เป็นผู้ประกอบกิจการศูนย์การค้าขนาดใหญ่จึงต้องคำนึงถึงและมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยรถของลูกค้าที่มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการตามสมควร มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าผู้มาใช้บริการต้องเป็นฝ่ายระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเองในระหว่างที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆ ภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดูแลรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ได้ว่าจ้างให้ดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินของผู้เช่าพื้นที่และลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้า บริเวณทางเข้าและทางออกลานจอดรถไม่มีการมอบและคืนบัตรจอดรถ ไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่ คงมีแต่เพียงกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้เพื่อบันทึกภาพรถเข้าและออก ซึ่งเห็นได้ว่าไม่สามารถป้องกัน ระงับหรือยับยั้งการโจรกรรมรถยนต์ได้ เช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลย งดเว้นไม่สอดส่อง ตรวจตรา ดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณลานจอดรถตามหน้าที่ตามสมควร เป็นเหตุให้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 สูญหายไป อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เอาประกันภัย สำหรับจำเลยที่ 2 ได้ความตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัย ข้อ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ทำการรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ณ อาคารศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับงานจ้างตามเอกสารแนบท้าย ซึ่งเอกสารแนบท้ายระบุถึงหน้าที่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยและวิธีป้องกันเมื่อเกิดเหตุร้ายไว้หลายประการ เช่น ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับทรัพย์สินของหน่วยงานภายในเขตรับผิดชอบตามจุดที่กำหนดไว้ ทำหน้าที่ให้บริการลูกค้าในการให้ข้อมูลต่าง ๆ ภายในอาคาร และให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในด้านอื่น ๆ ตามสมควร และในกรณีที่เกิดมีคนร้ายบุกรุกหรือลอบเข้ามาเพื่อทำการโจรกรรมหรือลักขโมยทรัพย์สินของทางอาคารของจำเลยที่ 1 จะต้องควบคุมตัวไว้แล้วนำส่งเจ้าพนักงานตำรวจ ในกรณีตรวจพบสิ่งผิดปกติหรือข้อบกพร่องเกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของทางอาคารพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องแจ้งให้หัวหน้าแผนกหรือผู้รับผิดชอบทราบทันทีเพื่อป้องกันความสูญหาย หรือการเสียหายโดยเฉพาะในยามวิกาลจะต้องตรวจตราเป็นพิเศษตรวจค้นบุคคลหรือพนักงานที่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยช่วยเหลือหรือำนวยความสะดวกแก่เจ้าหนี้ที่ฝ่ายบริหารเกี่ยวกับการป้องกันการรบกวนหรือก่อกวนจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลภายนอก ตลอดจนป้องกันการก่อวินาศภัยทุกชนิดภายในเขตที่รับผิดชอบโดยจะจัดเตรียมกำลังพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาเป็นต้น ส่วนสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัย ข้อ 19 ที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 ต้องออกคำสั่งหรือวางระเบียบให้บริวารของจำเลยที่ 1 หรือลูกค้าของจำเลยที่ 1 ที่เข้ามาใช้บริการ หรือทำธุรกิจกับจำเลยที่ 1 ยินยอมให้พนักงานรักษาความปลอดภัยทำการตรวจค้นตัว และยานพาหนะนั้น ก็เป็นเพียงวิธีหรือมาตรการในการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา แต่สัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยและเอกสารแนบท้ายหาได้ระบุให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินตลอดจนรถยนต์ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใดไม่ แม้ลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 จะทำให้เข้าใจได้ว่ามีการดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินรวมถึงรถยนต์ของลูกค้าด้วย แต่ความเข้าใจของลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการเช่นว่าไม่มีผลเป็นการก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยที่ 2 เกินไปกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา เช่นนี้จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างดูแลรักษาความปลอดภัยโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยสูญหายไป จำเลยที่ 2 จึงหาจำต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทั้งสามศาลและค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share