คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5334/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยยื่นคำคัดค้านซึ่งไม่ถูกต้อง ขอให้บังคับจำเลยถอนคำคัดค้าน จำเลยให้การว่าโจทก์นำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าที่ดินที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง แม้คำคัดค้านของจำเลยเป็นการใช้สิทธิตาม ป.ที่ดินฯ มาตรา 69 ทวิ ก็ตาม แต่ก็เป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลย ถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 แล้ว โจทก์ชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้ และคำขอให้บังคับจำเลยถอนคำคัดค้านมีความหมายรวมถึงการที่ขอให้จำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท หากโจทก์ชนะคดีศาลย่อมมีอำนาจบังคับให้ตามขอได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1528 ตำบลบางนาค อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2431 ซึ่งเป็นที่ดินข้างเคียงมีเนวเขตที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2541 โจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนราธิวาส จำเลยได้คัดค้านการรังวัดที่ดินโดยอ้างว่าผู้แทนโจทก์นำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง ขอให้บังคับจำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินที่อ้างว่าแนวเขตที่ดินของโจทก์รุกล้ำแนวแขตที่ดินของจำเลย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2431 จำเลยได้ที่ดินดังกล่าวนี้มาด้วยการซื้อขายโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ดังกล่าวรุกล้ำแนวเขตที่ดินพิพาทในความครอบครองของจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิคัดค้านการรังวัดของโจทก์ และการแสดงคำคัดค้านย่อมเป็นสิทธิตามกฎหมายของจำเลย คำคัดค้านของจำเลยจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องใด ๆ แก่โจทก์ที่จะฟ้องบังคับให้เพิกถอนได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินหรือไม่ เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1528 ตำบลบางนาค อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โจทก์ยื่นขอรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงคัดค้านการรังวัดอ้างว่าผู้แทนโจทก์นำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ดังนี้ แม้การยื่นคำคัดค้านดังกล่าวจะเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 69 ทวิ แต่เนื้อหาในคำคัดค้านที่จำเลยอ้างว่าที่ดินที่ผู้แทนโจทก์นำชี้รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 2431 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์นั้น เป็นการโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลย ถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้ ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ได้แนบสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 2431 กับหนังสือคัดค้านที่มีข้อความระบุว่า จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 2431 ตามเอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และโจทก์ได้ขอให้บังคับจำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดสอบเขต ซึ่งย่อมมีความหมายรวมถึงการที่ได้ขอให้บังคับจำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์นำชี้รังวัด ซึ่งหากโจทก์ชนะคดี ศาลย่อมมีอำนาจบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นที่ว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จึงมีสิทธิคัดค้านการรังวัดสอบแนวเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ และคดีนี้ที่ดินพิพาทที่อ้างว่ารุกล้ำจำนวน 2 ตารางวา มีราคาเพียง 90,000 บาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 และให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share