คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องในระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งจำเลยยังไม่อยู่ในฐานะเป็นจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 165 วรรคท้าย ย่อมไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบเพราะศาลชั้นต้นยังมิได้ประทับฟ้องไว้พิจารณา และจำเลยก็ยังไม่ได้ต่อสู้คดีหรือนำพยานเข้าสืบ ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 164 คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องได้ จึงเป็นคำสั่งโดยชอบหาใช่คำสั่งที่ผิดระเบียบหรือผิดหลงไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องและให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้มีการสืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความก่อน ย่อมเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341
ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องรวม 3 ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 3 ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2542 โจทก์ขอแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องโดยเพิ่มเติมคำว่า โดยทุจริต ต่อจากข้อความว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในตำแหน่งพนักงานจัดซื้อ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันดังกล่าวว่ากรณีเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ อนุญาตสำเนาให้จำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2542 และสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่อนุญาตให้โจทก์แก้และเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 ให้ดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปจนเสร็จ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องได้ตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2542 และให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้คำฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุคำว่า โดยทุจริต ก็หาทำให้คำฟ้องของโจทก์เสียไปเพราะเหตุบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดไม่ เนื่องจากโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในตำแหน่งฝ่ายจัดซื้อได้หลอกลวงโจทก์หลายครั้งต่างกรรมต่างวาระว่า ถ้าโจทก์ต้องการขายสินค้าของโจทก์ให้แก่บริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด โจทก์ต้องชำระค่าตอบแทนแก่ผู้บริหารของบริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในอัตราร้อยละ 5 ของราคาขายสินค้าที่โจทก์ขายให้แก่บริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในแต่ละงวด มิฉะนั้นบริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด จะไม่ตกลงซื้อสินค้าจากโจทก์ ซึ่งเป็นข้อความเท็จ ความจริงแล้วผู้บริหารของบริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด มิได้เรียกร้องค่าตอบแทนจากโจทก์ดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด โจทก์หลงเชื่อว่าเป็นความจริงตามคำหลอกลวงของจำเลยและประสงค์จะขายสินค้าให้แก่บริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้จ่ายเงินตามคำหลอกลวงของจำเลยโดยการจ่ายเข้าบัญชีเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาพระโขนง บัญชีเลขที่ 1574352454 ในชื่อบัญชีว่า “แต๋ว เกตุมาชม” ตามที่จำเลยแจ้งแก่โจทก์รวม 14 ครั้ง เป็นเงิน 2,711,916 บาท จากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวมีความหมายบ่งบอกอยู่ในตัวว่าจำเลยกระทำโดยทุจริต คำฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้วการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องตามคำร้องฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2542 โดยขอเติมคำว่า โดยทุจริต ต่อจากข้อความว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทอีเกีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในตำแหน่งพนักงานจัดซื้อ จึงเป็นเพียงแก้ไขหรือเพิ่มเติมรายละเอียดให้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น โดยโจทก์ได้แสดงเหตุอันควรในคำร้องแล้วว่าคำฟ้องของโจทก์ยังมีข้อบกพร่อง และการยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องตามคำร้องดังกล่าวก็ยังอยู่ในระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งจำเลยยังไม่อยู่ในฐานะเป็นจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคท้าย ย่อมไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบเพราะศาลชั้นต้นยังมิได้ประทับฟ้องไว้พิจารณา และจำเลยก็ยังไม่ได้ต่อสู้หรือนำพยานเข้าสืบ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164 คำสั่งศาลชั้นต้นซึ่งสั่งตามคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2542 ที่อนุญาตให้โจทก์แก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องได้ จึงเป็นคำสั่งโดยชอบแล้วหาใช่คำสั่งที่ผิดระเบียบหรือผิดหลงไม่ ดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องได้ตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 19 ตุลาคม 2542 และให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้มีการสืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความก่อนย่อมเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share