แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 หลังจากที่ให้สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด จากจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกนั่งตัดหลอดพลาสติกอยู่ในห้องและค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 780 เม็ด อยู่ในถุงพลาสติกแขวนอยู่ที่ข้างฝา จำเลยที่ 2 ถูกจับกุมในห้องนั้นเอง พร้อมอุปกรณ์มีหลอดกาแฟตัดสั้น เทียนไข ไฟแช็ก และมีดคัทเตอร์ซึ่งมีไว้เพื่อบรรจุเมทแอมเฟตามีน โดยของกลางที่สายลับได้มาจากการล่อซื้อเป็นเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด บรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกปิดหัวท้าย การที่จำเลยที่ 2 ถูกจับขณะตัดหลอดพลาสติกกับมีอุปกรณ์ในการบรรจุเมทแอมเฟตามีนครบครันและมีเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน780 เม็ด อยู่ในถุงพลาสติกแขวนอยู่ในห้อง ซึ่งเตรียมพร้อมที่จะบรรจุเมทแอมเฟตามีนในหลอดกาแฟโดยมีเทียนไขและไฟแช็กเพื่อใช้ในการลนหลอดพลาสติกปิดหัวท้ายในการบรรจุเมทแอมเฟตามีนพฤติการณ์เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 กับพวกบรรจุเมทแอมเฟตามีนและขายเมทแอมเฟตามีนโดยจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายตระเตรียมอุปกรณ์ในการบรรจุเมทแอมเฟตามีนลงในหลอดพลาสติกและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขายอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำและร่วม กระทำผิดด้วยกัน จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการในการกระทำผิดฐาน ขายเมทแอมเฟตามีนด้วย
จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและจำหน่าย จำเลยทั้งสามมิได้กระทำผิดโดยลำพัง จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,67 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีไว้เพื่อขายซึ่งเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 781 เม็ด น้ำหนัก 70.059 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 11.055 กรัม ซึ่งเกินกว่าปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด และจำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อจำนวน 1 เม็ด ในราคา200 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีน 781 เม็ด หลอดกาแฟตัดสั้น 200 ชิ้น เทียนไข 1 เล่ม ไฟแช็ก 1 อัน มีดคัทเตอร์ 1 เล่ม ซึ่งจำเลยทั้งสามร่วมกันมีไว้สำหรับแบ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีนขายแก่ลูกค้าและธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 200 บาทเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6, 11, 13 ทวิ, 62, 89, 106 ทวิ, 116ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 32, 33 ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์จำนวน 64 กรัม ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ริบหลอดกาแฟเทียนไข ไฟแช็ก มีดคัทเตอร์ ของกลางและคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ทั้งสองฐานความผิดมีโทษเท่ากันจึงลงโทษจำเลยทั้งสามฐานขาย ให้จำคุกคนละ 18 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 3ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 9 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 12 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์จำนวน 64 กรัม ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขริบหลอดกาแฟ เทียนไข ไฟแช็ก มีดคัทเตอร์ของกลางและคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 200 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้โดยพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1และที่ 3 ที่มิได้อุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 สำหรับจำเลยที่ 2 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76จำคุก 9 ปี และลดโทษให้อีกหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 9 ปี และลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 1กรกฎาคม 2539 เวลา 12 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจได้ให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 จำนวน 1 เม็ด ในราคา 200 บาท จากนั้นได้เข้าตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 2 และที่ 3 อยู่ในห้อง ค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 780 เม็ด ใส่ถุงแขวนอยู่ในห้อง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 หลังจากที่ให้สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด จากจำเลยที่ 1 โดยค้นพบธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 2 ฉบับ อยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 1จากการตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกนั่งตัดหลอดพลาสติกอยู่ในห้องและค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 780 เม็ดอยู่ในถุงพลาสติกแขวนอยู่ที่ข้างฝา จำเลยที่ 2 ถูกจับกุมในห้องนั้นเองพร้อมอุปกรณ์มีหลอดกาแฟตัดสั้น เทียนไข ไฟแช็ก และมีดคัทเตอร์ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีไว้เพื่อบรรจุเมทแอมเฟตามีน โดยของกลางที่สายลับได้มาจากการล่อซื้อเป็นเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด บรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกปิดหัวท้าย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ถูกจับขณะตัดหลอดพลาสติกกับมีอุปกรณ์ในการบรรจุเมทแอมเฟตามีนครบครันและมีเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 780 เม็ด อยู่ในถุงพลาสติกแขวนอยู่ในห้องดังกล่าว ซึ่งเตรียมพร้อมที่จะบรรจุเมทแอมเฟตามีนในหลอดกาแฟโดยมีเทียนไขและไฟแช็กเพื่อใช้ในการลนหลอดพลาสติกปิดหัวท้ายในการบรรจุเมทแอมเฟตามีน พฤติการณ์เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 กับพวกบรรจุเมทแอมเฟตามีนและขายเมทแอมเฟตามีนโดยจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายตระเตรียมอุปกรณ์ในการบรรจุเมทแอมเฟตามีนลงในหลอดพลาสติกและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขายอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำและร่วมกระทำผิดด้วยกัน จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการในการกระทำผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในความครอบครองเพื่อขายและขายกับลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ระบุมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญาไว้ยังไม่ถูกต้องเพราะจำเลยทั้งสามมิได้กระทำผิดโดยลำพัง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67ประกอบด้วยมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2