คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยไปเที่ยวกับผู้ชายในเวลากลางคืนโดยไม่ได้ความชัดว่าจำเลยประพฤติตนเช่นนั้นเป็นปกติวิสัยหรือไม่ ชายที่จำเลยไปด้วยมีความสัมพันธ์กับจำเลยเกินกว่าปกติธรรมดาหรือไม่ และจำเลยไปกับชายดังกล่าวเพียงลำพังสองต่อสองหรือไม่ จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยประพฤติชั่ว อันจะเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(2) โจทก์เป็นฝ่ายขอย้ายไปรับราชการที่ต่างจังหวัดตามความประสงค์ของโจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบจำเลยยังคงอยู่ที่บ้านที่เป็นของโจทก์และจำเลยปลูกสร้างตามเดิมจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป เกินกว่าหนึ่งปี อันจะเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากโจทก์และให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อปี 2525 โจทก์กับจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาในปี 2534 โจทก์แยกกันอยู่กับจำเลยเนื่องจากมีสาเหตุขัดแย้งกันภายในครอบครัว ปี 2536 โจทก์ขอย้ายไปรับราชการที่จังหวัดศรีสะเกษและนำเด็กหญิงนัยนันท์บุตรสาวไปอยู่ด้วย ส่วนบุตรชายคนโตยังคงอยู่กับจำเลยที่บ้านเลขที่ 88 หมู่ที่ 1 ตำบลคำเตย กิ่งอำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นบ้านที่โจทก์กับจำเลยร่วมกันปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัยในที่ดินของมารดาจำเลยตั้งแต่อยู่กินเป็นสามีภริยาด้วยกัน ในปัญหาว่ามีเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2) หรือไม่นั้นพยานโจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่าตั้งแต่ปี 2534 จำเลยประพฤติตนคบเพื่อนชายเที่ยวเตร่เวลากลางคืนดื่มสุราและของมึนเมา เล่นการพนันและไม่เอาใจใส่ครอบครัถือได้ว่าจำเลยประพฤติชั่ว นางสุดใจ อินทนนท์ พี่สาวโจทก์เบิกความว่าจำเลยชอบเที่ยวร้านอาหาร ร้องเพลงตามคาราโอเกะ นายบุญหนา มูลสาร เบิกความว่าจำเลยออกเที่ยวเตร่ดื่มสุราและเคยเห็นจำเลยไปเที่ยวกลางคืนกับชายอื่น นายบุญพวง ช่างคำเบิกความว่า เห็นจำเลยไปกับชายคนหนึ่งไปดูที่ดินที่โจทก์กับจำเลยซื้อร่วมกัน เห็นว่า โจทก์เพียงแต่เบิกความกล่าวอ้างเพียงลอย ๆ เท่านั้น ว่าจำเลยมีพฤติการณ์ดังกล่าวกลับได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนผู้ชายและเพื่อนผู้หญิงด้วย จึงเป็นการไปเที่ยวกันเป็นหมู่คณะ โจทก์มิได้นำสืบแสดงพยานหลักฐานอื่นให้เห็นชัดเจนว่าจำเลยประพฤติตัวดังที่โจทก์เบิกความเป็นปกติอาจิณ คำเบิกความของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟัง นางสุดใจพยานโจทก์ที่เบิกความว่าจำเลยมีความประพฤติดังกล่าวก็มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ความประพฤติของจำเลยด้วยตนเอง เป็นแต่เพียงรับฟังคำบอกเล่าจากบุคคลอื่นว่าจำเลยไปเที่ยวนอกบ้านเท่านั้นแม้นางสุดใจจะเบิกความว่า วันหนึ่งเห็นจำเลยออกจากบ้านจึงให้โจทก์ติดตามจำเลยไปและทราบว่าจำเลยไปเที่ยวที่อำเภอกุดชุม แต่โจทก์ก็มิได้เบิกความถึงในข้อนี้หรือมาแจ้งให้นางสุดใจรู้ว่า จำเลยประพฤติตนเสียหายอย่างใดบ้างส่วนคำเบิกความของนายบุญหนาที่ว่า จำเลยเที่ยวเตร่ดื่มสุราในเวลากลางคืนโดยไปเที่ยวกับชายอื่น และคำเบิกความของนายบุญพวงที่ว่าเคยเห็นจำเลยออกไปดูที่ดินที่โจทก์กับจำเลยซื้อร่วมกันกับชายคนหนึ่งนั้น เห็นว่า นายบุญหนาและนายบุญพวงเป็นบุคคลภายนอกมิได้อยู่ใกล้ชิดกับจำเลยตลอดเวลา คำเบิกความของนายบุญหนาก็มิได้ยืนยันว่าจำเลยมีความประพฤติดังกล่าวเป็นปกติวิสัย คงเบิกความเพียงลอย ๆ เท่านั้น แต่กลับได้ความจากคำเบิกความของนายบุญหนาตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเคยพบจำเลยที่ร้านอาหารที่มีนักร้องร้องเพลง ร้านดังกล่าวหญิงชายสามารถเข้าไปได้ไม่จำกัด และคนในหมู่บ้านไปรับประทานอาหารที่ร้านดังกล่าว แสดงว่าร้านอาหารที่นายบุญหนาพบจำเลยเป็นสถานที่ขายอาหารตามปกติธรรมดาทั่วไป แม้จะมีนักร้องร้องเพลงด้วยก็เป็นเพียงการให้ความบันเทิงแก่ผู้มารับประทานอาหารเท่านั้นมิใช่สถานที่ลี้ลับหรือไม่สมควรที่จำเลยจะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารเพราะบุคคลทั่วไปแม้แต่คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็ยังไปรับประทานอาหารที่ร้านดังกล่าว ดังนั้นที่นายบุญหนาพบเห็นจำเลยที่ร้านอาหารจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป และที่นายบุญหนาเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า เห็นจำเลยเที่ยวเวลากลางคืนกับชายอื่น ก็ไม่ได้ความแน่ชัดว่า จำเลยประพฤติตนเช่นนั้นเป็นปกติวิสัยหรือไม่ ชายที่จำเลยไปด้วยมีความสัมพันธ์กับจำเลยเกินกว่าปกติธรรมดาหรือไม่ และจำเลยไปกับชายดังกล่าวเพียงลำพังสองต่อสองหรือไม่ คำเบิกความของนายบุญหนาจึงเป็นคำเบิกความที่คลุมเครือไม่แจ้งชัด สำหรับคำเบิกความของนายบุญพวงที่เห็นจำเลยกับชายคนหนึ่งไปดูที่ดินที่โจทก์กับจำเลยซื้อไว้ก็ยังไม่พอรับฟังว่าจำเลยมีความประพฤติเสียหายเพราะการที่จำเลยไปดูที่ดินกับชายดังกล่าว นายบุญพวงก็ไม่ทราบว่าจำเลยมีจุดประสงค์อย่างใด ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องติดต่อกันทางธุรกิจก็เป็นได้พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงยังไม่พอรับฟังว่าจำเลยประพฤติชั่ว อันจะเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516(2)ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับปัญหาวินิจฉัยในประเด็นสุดท้ายว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินหนึ่งปีหรือไม่นั้น โจทก์เบิกความว่า โจทก์กับจำเลยปลูกบ้านเลขที่ 246 หมู่ที่ 1 ตำบลคำเตย กิ่งอำเภอไทยเจริญจังหวัดยโสธร บนที่ดินของมารดาจำเลยเป็นที่อยู่อาศัยเมื่อปี 2534โจทก์กับจำเลยทะเลาะกัน จำเลยพาบุตรทั้งสองคนหลบหนีโจทก์ติดตามหาตัวจำเลยและบุตรไม่พบ ต่อมาจึงทราบว่าจำเลยพาบุตรไปอยู่ที่บ้านมารดาจำเลยที่บ้านเลขที่ 88 หมู่ที่ 1 ตำบลคำเตยกิ่งอำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร และในปี 2536 โจทก์ย้ายไปรับราชการที่จังหวัดศรีสะเกษ จำเลยปฏิเสธไม่ยอมตามไปอยู่กับโจทก์โจทก์จึงพาเด็กหญิงนัยนันท์ไปอยู่ด้วย และให้บุตรชายคนโตอยู่กับจำเลย จำเลยเบิกความว่า บ้านที่โจทก์กับจำเลยปลูกอยู่อาศัยเลขที่ 88 หมู่ที่ 1 ตำบลคำเตย กิ่งอำเภอไทยเจริญจังหวัดยโสธร ปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.2จำเลยทะเลาะกับโจทก์จึงพาบุตรไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านบิดามารดาจำเลยซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน โจทก์ขอย้ายไปรับราชการที่จังหวัดศรีสะเกษโดยมิได้บอกกล่าวจำเลย และไม่ยอมชวนจำเลยไปอยู่ด้วยจำเลยเคยพยายามติดตามจะไปอยู่กับโจทก์ประมาณ 10 ครั้ง แต่โจทก์ไม่ยินยอม จำเลยไม่มีความประสงค์ที่จะหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์ เห็นว่า ก่อนที่โจทก์กับจำเลยจะแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภริยากันนั้น โจทก์กับจำเลยเป็นราษฎรในหมู่บ้านเดียวกันดังนั้นโจทก์และจำเลยย่อมจะทราบความเป็นมาตลอดจนบ้านบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายดีว่ามีบ้านช่องอยู่แหล่งที่ใด โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า บ้านเลขที่ 246 หมู่ที่ 1 ตำบลคำเตยกิ่งอำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร เป็นบ้านของโจทก์ซึ่งปลูกบนที่ดินของมารดาจำเลยอยู่ใกล้บ้านมารดาโจทก์และบ้านบิดามารดาของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่าบ้านที่โจทก์และจำเลยปลูกอยู่อาศัยร่วมกัน คือ บ้านเลขที่ 88 หมู่ที่ 1 ตำบลคำเตยกิ่งอำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร ตามที่จำเลยนำสืบมิใช่บ้านเลขที่ 246 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างข้างต้น และได้ความจากคำเบิกความของโจทก์อีกต่อไปว่า บ้านบิดามารดาของจำเลยก็อยู่ใกล้เคียงกันห่างกันประมาณ 10 ถึง 20 เมตรเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่โจทก์จะไม่ทราบว่า จำเลยกับบุตรทั้งสองอยู่ที่บ้านบิดามารดาของจำเลยมาตลอด และข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหลบหนีไปที่อื่น ทั้งจำเลยก็ยืนยันว่ายังคงอยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 88 ข้างต้นมาตลอดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาละทิ้งร้างโจทก์ กลับได้ความตามที่โจทก์เบิกความว่าโจทก์เป็นฝ่ายขอย้ายไปรับราชการที่จังหวัดศรีสะเกษตามความประสงค์ของโจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบส่วนจำเลยก็ยังคงอยู่ที่บ้านที่เป็นของโจทก์และจำเลยปลูกสร้างตามเดิม ซึ่งจำเลยให้เหตุผลว่าโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยตามไปอยู่ด้วยข้อที่โจทก์เบิกความว่าจำเลยเป็นฝ่ายปฏิเสธไม่ยอมไป และจำเลยขอเลิกจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์ขัดแย้งกับคำเบิกความของโจทก์เองที่ว่า เมื่อโจทก์ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษแล้ว โจทก์เป็นฝ่ายขอจดทะเบียนหย่ากับจำเลยแต่จำเลยปฏิเสธ พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินหนึ่งปี โจทก์ย่อมไม่อาจฟ้องหย่าจำเลยโดยอาศัยเหตุตามมาตรา 1516(4) เช่นกัน เมื่อได้ความดังกล่าวคดีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุสมควรให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียวตามฎีกาของโจทก์ต่อไป คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share