คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2892/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การยิงปืนขึ้นฟ้าของจำเลยเป็นการยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 376 เมื่อคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 เท่ากับความผิดตามที่ฟ้องรวมการกระทำความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุด้วย แม้โจทก์มิได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวด้วย แต่เมื่อความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องรวมการกระทำความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองด้วย กรณีไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษในข้อเท็จจริงตามที่พิจารณาได้ความ ดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ส่วนข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 3 เดือน รวมทุกกระทงความผิดแล้ว ให้จำคุก 6 ปี 17 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นนี้ว่า นายสุชน ผู้เสียหายที่ 1 เป็นบิดาของนางสาวพิชญาภัทร ส่วนนายสุริยา ผู้เสียหายที่ 2 เป็นน้องชายของนางสาวพิชญาภัทร ก่อนเกิดเหตุเมื่อปี 2554 จำเลยแต่งงานอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับนางสาวพิชญาภัทร และพักอาศัยอยู่ที่บ้านของนางเรียง ยายของจำเลย มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิง ส. หลังจากนั้นประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2558 จำเลยมีภริยาใหม่ วันเกิดเหตุวันที่ 1 มกราคม 2559 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา นางสาวพิชญาภัทรพาเด็กหญิง ส. มาที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุเพื่อร่วมรับประทานขนมจีนกับญาติพี่น้องเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ครั้นเวลา 15.30 นาฬิกา นายสามารถ นางนิภา บิดามารดาของจำเลย นางสาวสมศรี น้าของจำเลย และนางเรียงเดินทางไปที่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อขอรับเด็กหญิง ส. กลับไปโดยเข้าไปนั่งพูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 และนางเพ็ญสินี มารดาของนางสาวพิชญาภัทร ภายในบ้าน ต่อมาเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยซึ่งมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ขับรถกระบะมาจอดที่ริมถนนหน้าบ้านที่เกิดเหตุแล้วลงจากรถเดินเข้ามาในบ้านหลังดังกล่าว และใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด เป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกกระจกหน้าต่างชั้นสองของบ้านที่เกิดเหตุแตก หัวกระสุนปืนทะลุฝ้าเพดานชั้นสองไปฝังอยู่ในโครงไม้ทำฝ้าเพดาน แล้วจำเลยและญาติของจำเลยหลบหนีไป ต่อมาเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความต่อพันตำรวจตรีกิตติพล พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรพุนพินให้ดำเนินคดีแก่จำเลย วันรุ่งขึ้นพันตำรวจตรีกิตติพลเดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จัดทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุ ร่องรอยกระสุนบริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุประกอบสำนวน โดยมีเจ้าหน้าที่จากกองวิทยาการเข้าร่วมตรวจพิสูจน์และทำความเห็นไว้ด้วย หลังจากพันตำรวจตรีกิตติพลรวบรวมพยานหลักฐานแล้วได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลย วันที่ 21 มกราคม 2559 จำเลยเข้ามอบตัวต่อพันตำรวจตรีกิตติพลแล้วถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่จำเลยเดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ ก็เพราะจำเลยทราบจากญาติของจำเลยที่เดินทางไปที่บ้านที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้เพื่อขอรับบุตรสาวของจำเลยกลับบ้าน แต่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ยอม จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด โดยคดีได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 นางเพ็ญสินีและนางสาวมัชฌิมาร์ พยานโจทก์ว่า ขณะจำเลยเดินถืออาวุธปืนเข้ามาภายในบ้านและก่อนที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิง จำเลยเดินถอยหลังออกจากบ้านทางประตูใหญ่ 3 ถึง 4 ก้าว ไปยืนอยู่บริเวณลานหน้าบ้าน แล้วจึงค่อยใช้อาวุธปืนยิงขึ้นไปชั้นสองของบ้านจำเลยมิได้ทะเลาะหรือโต้เถียงกับผู้เสียหายที่ 1 ดังนั้น หากจำเลยประสงค์จะเอาชีวิตของผู้เสียหายที่ 1 หรือบุคคลภายในบ้าน จำเลยคงไม่เดินถอยหลังออกจากบ้าน 3 ถึง 4 ก้าว แล้วจึงค่อยใช้อาวุธปืนยิง ประกอบกับได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีกิตติพล พนักงานสอบสวนว่า เจ้าหน้าที่จากกองวิทยาการผู้เข้าร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุได้ทำความเห็นว่า ตำแหน่งที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงกับร่องรอยกระสุนปืนนั้น ทำมุมองศา 70 องศา ซึ่งเป็นวิถีกระสุนเกือบจะตั้งฉากเป็นแนวตรง ที่โจทก์นำสืบว่า ขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงขึ้นไปนั้น มีผู้เสียหายที่ 2 นอนอยู่บนชั้นสองของบ้านที่เกิดเหตุ ก็ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ว่า ผู้เสียหายที่ 2 ไม่แน่ใจว่าจำเลยจะเห็นผู้เสียหายที่ 2 หรือไม่ และลักษณะการยิงของจำเลยเป็นการชักอาวุธปืนยิงใส่บ้านในทันที ไม่ได้จ้องเล็งมาที่ผู้เสียหายที่ 2 ก่อนแล้วค่อยยิง ส่วนที่ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่า หากไปยืนในตำแหน่งที่จำเลยยืนน่าจะเห็นผู้เสียหายที่ 2 ก็เป็นเพียงความคิดส่วนตัวของผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น ทั้งหลังจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด แล้ว จำเลยก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงซ้ำอีกแต่อย่างใด แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้ใด น่าเชื่อว่าการใช้อาวุธปืนยิงของจำเลยเป็นการยิงปืนขึ้นฟ้าเพียงเพื่อระบายโทสะตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้ ส่วนก่อนที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิง จำเลยพูดว่า “เย็ดแม่ วันนี้ยิงให้ตายหมดทั้งบ้าน” ก็น่าจะเป็นการพูดด้วยความโกรธที่ฝ่ายผู้เสียหายที่ 1 ไม่ยอมให้จำเลยรับบุตรสาวกลับคืนไปมากกว่าจะฟังว่าเป็นการใช้อาวุธปืนยิงโดยมีเจตนาฆ่า กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นเจตนาโดยประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ดี การยิงปืนขึ้นฟ้าของจำเลยเป็นการยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 เมื่อคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 เท่ากับความผิดตามที่ฟ้องรวมการกระทำความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุด้วย แม้โจทก์มิได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวด้วย แต่เมื่อความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องรวมการกระทำความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองด้วย กรณีไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษในข้อเท็จจริงตามที่พิจารณาได้ความ ดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 225
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยมีและพาอาวุธปืนติดตัวไปยังบ้านที่เกิดเหตุก็เพื่อไปขอรับบุตรสาวกลับคืนมา ทั้งเป็นการขับรถพาอาวุธปืนติดตัวจากบ้านของจำเลยมุ่งตรงไปยังที่เกิดเหตุทันที โดยมิได้มีวัตถุประสงค์พาอาวุธปืนไปเพื่อการอื่นอันอาจมีผลกระทบต่อสาธารณชน นับเป็นการมีและพาอาวุธปืนไปเพราะเหตุภายในครอบครัวโดยแท้ แม้จำเลยจะใช้อาวุธปืนที่พาติดตัวไปยิงก่อเหตุทำให้ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ 1 เสียหาย ก็เป็นเพียงความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า ทั้งเป็นความเสียหายไม่มากนัก ประกอบกับปรากฏข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยซึ่งโจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายโดยการชดใช้เงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 จนผู้เสียหายที่ 1 ไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กรณีจึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำและไม่กลับไปกระทำความผิดอีก เห็นควรลงโทษปรับและคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ลงโทษจำคุก 10 วัน และปรับ 5,000 บาท ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้ลงโทษปรับกระทงละ 8,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นเงิน 16,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 8,000 บาท รวมโทษทุกกระทงเป็นจำคุก 9 เดือน 10 วัน และปรับ 13,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คุมความประพฤติของจำเลย โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน ต่อครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share