คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2892/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ตามรายงานประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอลาดหลุมแก้วไม่เป็นสัญญาระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้นไปทีเดียว ยังมีเงื่อนไขให้ไปตกลงค่าเสียหายกับจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยอีก จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
การที่ผู้เอาประกันปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิดดังเช่นคดีนี้ ผู้รับประกันจะยกเอาเงื่อนไขดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรผู้รับประกันภัยก็จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว จุดประสงค์ของการกำหนดเงื่อนไขตามข้อตกลงดังกล่าวก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น
คดีมีทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 1 (ผู้รับช่วงสิทธิ) เรียกร้องไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 6 ข้อที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่าค่าเสียหายของโจทก์ที่ 1 จำนวน 23,495 บาท ไม่ใช่ค่าเสียหายที่ถูกต้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
ค่าขาดผลประโยชน์และค่าเสื่อมราคารถของโจทก์ที่ 2 ก็ถือได้ว่าเป็นความเสียหายของโจทก์ที่ 2 ที่เนื่องมาจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๒๗๓๕๘ และเป็นนายจ้างของนายเอื้อน ผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว โจทก์ที่ ๑ ได้รับประกันภัยรถยนต์คันนี้ไว้จากบริษัทจินดามอเตอร์ จำกัด และโจทก์ที่ ๒ ในประเภทรับผิดชดใช้ค่าเสียหายโดยสิ้นเชิง จำเลยที่ ๑เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ คันหมายเลขทะเบียน ๕น-๓๙๔๖ กรุงเทพมหานคร และเป็นลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นเจ้าของรถ ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวด้วยความประมาทชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนน.ฐ.๒๗๓๕๘ ซึ่งจอดอยู่ซ้ายสุดของถนนฝั่งตรงข้ามกับช่องทางเดินรถที่จำเลยที่ ๑ ขับมาได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวไว้ในขณะเกิดเหตุ โจทก์ที่ ๑ ในฐานะผู้รับประกันภัยได้นำรถคันนี้ไปซ่อมสิ้นเงินไป ๒๓,๔๙๕ บาท โจทก์ที่ ๑ จึงรับช่วงสิทธิจากโจทก์ที่ ๒ มาฟ้องเรียกค่าเสียหายโจทก์ที่ ๒ ขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท รถเสื่อมสภาพและราคาไป ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันและแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๒๕,๒๕๗ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ จำนวน ๕๓,๗๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ที่ ๒ มิใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๒๗๓๕๘ โจทก์ที่ ๑ ก็มิได้รับประกันรถคันดังกล่าวไว้จากโจทก์ที่ ๒ โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๒๗๓๕๘ มีการตกลงประนีประนอมยอมความกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด จำนวนค่าเสียหายของโจทก์มีไม่ถึงตามฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ตกลงระงับสิทธิเรียกร้องทางแพ่งและทางอาญากันไปแล้ว โจทก์ที่ ๑ ผู้รับช่วงสิทธิจึงไม่มีอำนาจฟ้องและการที่จำเลยที่ ๒ ไปตกลงยินยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๒ โดยพลการเป็นการผิดเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ ๓ จึงพ้นความรับผิดค่าเสียหายมีเพียง ๒๘,๑๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๕,๒๕๗ บาทแก่โจทก์ที่ ๑ เงินจำนวน ๑๖,๑๒๕ บาทแก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๒๗๓๕๘ เอาประกันภัยไว้กับบริษัทโจทก์ที่ ๑ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๒ เวลากลางคืน นายเอื้อนลูกจ้างโจทก์ที่ ๒ ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาตามถนนสายบางเลน-ปทุมธานี แล้วจอดรถใกล้ ๆ ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ และเปิดสัญญาณไฟไว้ นายเอื้อนลงรถไปซื้อน้ำแข็ง ขณะนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ๕น-๓๙๔๖ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๒ และเอาประกันภัยไว้กับบริษัทจำเลยที่ ๓ สวนทางมา แล้วรถแล่นกินทางเข้าไปเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ เสียหาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาจำเลยที่ ๑ว่าขับรถประมาทและเปรียบเทียบปรับจำเลยที่ ๑ ไปแล้ว นายชัยณรงค์น้องชายจำเลยที่ ๒ ไปพบพนักงานสอบสวนกับโจทก์ที่ ๒ นายชัยณรงค์ให้ค่าเสียหายแก่นางสะอาดผู้ได้รับบาดเจ็บและยินดีชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ แต่ให้ไปตกลงค่าเสียหายกับบริษัทจำเลยที่ ๓ แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๒ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และตามเอกสารหมาย ล.๑ซึ่งเป็นรายงานประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอลาดหลุมแก้วไม่เป็นสัญญาระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้นไปทีเดียว ยังมีเงื่อนไขให้ไปตกลงค่าเสียหายกับจำเลยที่ ๓ จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เอาประกันภัยมิได้แจ้งเหตุที่เกิดโดยพลันแก่จำเลยที่ ๓ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ให้ทั้งที่มีปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว เห็นว่าจำเลยที่ ๓ มิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้ จึงไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่าผู้เอาประกันภัยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ ๑.๔.๑ เพราะไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๒ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิด เห็นว่าจุดประสงค์ของการกำหนดเงื่อนไขตามข้อตกลงดังกล่าวก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้นแต่สำหรับกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิดดังเช่นคดีนี้ จะเอาเงื่อนไขดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรผู้รับประกันภัยก็จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
คดีนี้ทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ ๑ เรียกร้องไม่เกินห้าหมื่นบาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘มาตรา ๖ ข้อที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาว่าค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๑ จำนวน ๒๓,๔๙๕ บาท ไม่ใช่ค่าเสียหายที่ถูกต้องเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้แล้ววินิจฉัยต่อไปว่าค่าขาดผลประโยชน์และค่าเสื่อมราคาก็ถือได้ว่าเป็นความเสียหายของโจทก์ที่ ๒ ที่เนื่องมาจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยซึ่งจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิด
พิพากษายืน

Share