แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยจ้องปืนไปยังธ. โดยใช้นิ้วมือสอดเข้าไปในโกร่งไกปืนแต่เมื่อธ. วิ่งหนีขึ้นบ้านจำเลยก็ไม่ได้วิ่งตามกลับใจจ้องปืนมายังว. แทนทั้งที่มีโอกาสจะยิงะ. ได้และเมื่อว. พูดกับจำเลยว่าตนไม่เกี่ยวพร้อมกับยกมือขึ้นป้องแล้วเข้าไปหลังบ้านเข้าไปซ่อนตัวในป่าจำเลยก็ไม่ได้ตามว. ไปทั้งที่มีโอกาสจะยิงได้แสดงว่าจำเลยได้ยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอดจำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานพยายามฆ่าธ. และว..
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่านายธวัช ไกรสร และนายวิเชษฐ์ ประสพสิน และฐานมีอาวุธปืน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 2 นัดไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในหมู่บ้านทางสาธารณะ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามตรา 75กึ่งหนึ่ง ข้อหาพยายามฆ่า เรียงกระทงลงโทษ 2 กระทง กระทงละ 5 ปีข้อหามีอาวุธปืนไม่รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ข้อหาพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะ จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 10 ปี 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยได้อยู่ในที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุ ปัญหามีว่าจำเลยได้ใช้ปืนยาวจ้องยิงผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าและผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนหรือไม่ นายธวัชผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนายธวัชนั่งเล่นอยู่ข้างหน้าร้านที่เกิดเหตุ เห็นจำเลยเดินมาตามถนนและท้าทายนายธวัชให้มาสู้กันกลางถนน จำเลยชักมีดปลายแหลมออกมาจากเอว แล้วจำเลยวิ่งจะเข้ามาแทงนายธวัช นายธวัชวิ่งหนีไปตามถนนเพื่อจะออกถนนสายพิษณุโลก – เขาทราย จำเลยวิ่งไล่ตามหลังนายธวัชจนถึงหน้าบ้านนายธวัชจึงหยุดไล่ตาม แล้วจำเลยก็กลับไปหลังจากนั้นนายธวัชกลับไปนั่งที่ร้านที่เกิดเหตุตามเดิม เห็นจำเลยเดินข้ามถนนสายพิษณุโลก – เขาทราย ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ต่อมาจำเลยออกมาจากบ้านหลังนั้นข้ามถนนมาในมือถือปืนยาว 1 กระบอกตรงเข้ามาหานายธวัชเมื่อใกล้จะถึงตัวนายธวัช จำเลยก็จ้องปืนมายังนายธวัชโดยนิ้วมือจำเลยสอดเข้าไปในโกร่งไกปืนนายธวัชจึงรีบวิ่งหนีเข้าบ้านขึ้นไปบนชั้นสอง สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยจะได้จ้องปืนไปทางนายธวัชหรือไม่นั้น โจทก์ได้นำประจักษ์พยาน 3 ปากคือ นายวิเชษฐ์ ประสพสิน ผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง นายเสนาะ กมลรัตน์เจ้าของร้านที่เกิดเหตุและนางสาวศิริวรรณ แล้วกลิ่นจันทร์ ซึ่งมาซื้อของในร้านขณะนั้นมาเบิกความเป็นทีสอดคล้องกับคำเบิกความของนายธวัชในสาระสำคัญ เมื่อพิเคราะห์ถึงแสงสว่างและระยะที่เห็นซึ่งเหตุเกิดที่หน้าร้านขายของประกอบกับแผนที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.2 แล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้มั่นคงว่าจำเลยได้ใช้ปืนยาวจ้องยิงไปยังนายธวัชจริง ที่ศาลอุทธรณ์ตำหนิว่าพยานโจทก์ไม่น่าจะเห็นโดยละเอียดในการที่จำเลยเอานิ้วมือสอดเข้าไปในโกร่งไหปืนนั้น ข้อนี้เห็นว่า ปืนยาวเป็นวัตถุที่ใหญ่พอสมควรและระยะที่เห็นก็ไม่ไกลมากนัก จึงไม่เป็นของผิดปกติที่จะมองเห็นได้ เมื่อเกิดเหตุแล้วนายเสนาะเจ้าของร้านที่เกิดเหตุได้ไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ซึ่งในข้อนี้จ่าสิบตำรวจอำนวยจิราวัฒน์ พยานโจทก์มาเบิกความยืนยันอยู่ที่ตำหนิว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าปืนที่ใช้เป็นปืนลูกกรดยาวพร้อมกระสุน 2 นัด แต่ยึดของกลางไม่ได้นั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยาวจ้องยิงนายธวัชเช่นนั้น แม้จะไม่แน่ชัดว่าเป็นปืนยาวชนิดไหนก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามนายวิเชษฐ์นายเสนาะ และนางสาวศิริวรรณ ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากยังเบิกความในข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อนายธวัชวิ่งหนีจำเลยไปแล้ว จำเลยได้วิ่งไล่ตามนายธวัชหรือไม่เป็นการแตกต่างกันอยู่ นายวิเชษฐ์เบิกความว่า เมื่อนายธวัชวิ่งหนีขึ้นบันไดไปบนบ้านนายเสนาะจำเลยไม่ได้วิ่งตาม กลับจ้องปืนมาทางนายวิเชษฐ์ นายเสนาะเบิกความว่านายธวัชวิ่งหนีขึ้นบันไดบ้านนายเสนาะขึ้นไปชั้นบน จำเลยวิ่งตามไปแค่หัวบันได หลังจากนั้นจำเลยจ้องปืนไปยังนายวิเชษฐ์ ส่วนนางสาวศิริวรรณเบิกความว่า เห็นนายธวัชหนีขึ้นบันไดบ้านของนายเสนาะไปบนชั้นสอง จำเลยวิ่งตามไปหยุดตรงนายวิเชษฐ์ แล้วจ้องปืนไปทางนายวิเชษฐ์จากคำเบิกความดังกล่าว ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงไปในทางที่เป็นผลดีแก่จำเลยว่า เมื่อนายธวัชวิ่งหนี จำเลยไม่ได้วิ่งตามโดยกลับใจเอาปืนมาจ้องนายวิเชษฐ์แทน ทั้งที่จำเลยมีโอกาสจะยิงนายธวัชได้ ตามคำเบิกความของนายวิเชษฐ์ นายเสนาะและนางสาวศิริวรรณการกระทำของจำเลยเกี่ยวกับนายธวัช จึงเป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด จำเลยจึงยังไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานพยายามฆ่านายธวัช ส่วนในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนายวิเชษฐ์ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งนั้น ได้ความตามคำเบิกความของนายเสนาะเจ้าของร้านที่เกิดเหตุซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุว่า เมื่อจำเลยจ้องปืนไปทางนายวิเชษฐ์ นายวิเชษฐ์พูดว่าผมไม่เกี่ยว และยกมือขึ้นป้องนายวิเชษฐ์ได้เข้าไปหลังบ้านทะลุหลังบ้านเข้าไปซ่อนตัวในป่าส่วนจำเลยเดินเลาะลวดหนามไปทางปั๊มน้ำมัน ซึ่งศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำเบิกความดังกล่าวประกอบกับแผนที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.2 แล้วเห็นว่า ถ้าจำเลยเจตนาจะยิงนายวิเชษฐ์อย่างแท้จริง จำเลยน่าจะต้องตามหลังนายวิเชษฐ์และยิงนายวิเชษฐ์แล้ว เพราะมีโอกาสจะยิงได้ตามคำเบิกความของนายวิเชษฐ์เอง การที่จำเลยกลับไปเสียอีกทางหนึ่งแสดงอยู่ว่าเมื่อจำเลยทราบจากนายวิเชษฐ์ว่าไม่เกี่ยวข้องด้วยจำเลยก็ยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด จำเลยจึงยังไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานพยายามฆ่านายวิเชษฐ์เช่นกัน จำเลยคงมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17 ปี ลงโทษโดยลดมาตราส่วนให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 กึ่งหนึ่ง ข้อหามีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตให้จำคุก 6 เดือน ข้อหาพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะให้จำคุก3 เดือน รวมจำคุก 9 เดือน จำเลยต้องขังมาพอแก่โทษแล้วให้ปล่อยตัวไปนอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.