แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์และได้ชำระคืนบางส่วนแล้วจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ที่เหลือให้โจทก์ จำเลยให้การว่า ไม่ได้กู้เงินโจทก์ ที่จำเลยเขียนสัญญากู้เงินให้โจทก์เพราะโจทก์ทวงถามให้ผู้กู้เงินรายอื่นหลายคนชำระหนี้และมีการโต้เถียงกันเพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากและเดือดร้อน คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยจะต้องชำระเงินตามสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินให้ไว้ต่อโจทก์ เป็นเรื่องที่จำเลยยอมตนเข้าเป็นลูกหนี้เงินกู้แทนลูกหนี้รายอื่นและไม่ปรากฏว่ามีการขืนใจลูกหนี้เดิม การกู้เงินระหว่างโจทก์และจำเลยมีลักษณะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยถึงที่มาแห่งมูลหนี้ของการทำหนังสือสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์จำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นข้อพิพาท ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2538 จำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 156,500 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยตามกฎหมายไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ จำเลยได้รับเงินในวันทำสัญญากู้เงินครบถ้วนแล้วตามหนังสือสัญญากู้เงินท้ายฟ้อง หลังจากทำสัญญากู้เงินจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนตามที่จำเลยแจ้งแก่โจทก์ไว้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน142,985 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 142,985 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินไปจากโจทก์ตามฟ้องแต่จำเลยได้เขียนสัญญากู้เงินไว้กับโจทก์ด้วยความไม่สมัครใจและไม่ได้มุ่งที่จะผูกพันกันตามสัญญากู้เงิน เนื่องจากโจทก์ทวงถามให้ผู้กู้เงินรายอื่นหลายคนซึ่งทำงานในที่เดียวกันชำระหนี้และโต้เถียงกันจนเป็นเหตุให้การปฏิบัติงานไม่มีความสุข จำเลยจึงตัดปัญหาความยุ่งยากและเดือดร้อน จึงได้เขียนสัญญากู้เงินตามฟ้อง แต่โจทก์ไม่ได้มอบเงินตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลย สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน142,985 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน128,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อ ง. ตามที่ศาลชั้นต้นสั่งรับเพียงข้อเดียวว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยคดีนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวมีใจความสำคัญว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องตั้งเรื่องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกู้เงินโจทก์หรือไม่ และจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่าหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นการแปลงหนี้ใหม่ทั้ง ๆ ที่ตามฟ้องโจทก์และทางนำสืบของจำเลยไม่มีประเด็นเรื่องการแปลงหนี้ใหม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้เงินท้ายฟ้องและได้ชำระคืนบางส่วนแล้ว จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ที่เหลือให้โจทก์จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์ทั้งไม่เคยชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง ที่จำเลยเขียนสัญญากู้เงินให้โจทก์เพราะโจทก์ทวงถามให้ผู้กู้เงินรายอื่นหลายคนชำระหนี้และมีการโต้เถียงกัน เพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากและเดือดร้อนจึงได้เขียนหนังสือสัญญากู้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ดังนี้คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินตามหนังสือสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1ให้ไว้ต่อโจทก์แทนลูกหนี้คนอื่นหลายราย กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยยอมตนเข้าเป็นลูกหนี้เงินกู้แทนลูกหนี้รายอื่นหลายรายและไม่ปรากฏว่ามีการขืนใจลูกหนี้เดิม การทำหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ระหว่างโจทก์และจำเลยมีลักษณะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยว่าหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 มีมูลหนี้มาจากการที่จำเลยยอมตนเข้าเป็นลูกหนี้เงินกู้แทนลูกหนี้รายอื่นหลายรายโดยไม่ปรากฏว่ามีการขืนใจลูกหนี้เดิม การทำหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้อันเป็นการวินิจฉัยถึงที่มาแห่งมูลหนี้ของการทำหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมายจ.1 ระหว่างโจทก์จำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี หาได้เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ที่เหลือให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน