แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานให้จำเลย เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จแล้วจำเลยไม่ชำระค่าจ้างตามสัญญา จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้จ้างโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ประเด็นจึงมีว่าจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานตามฟ้องหรือไม่เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยว่าจ้างโจทก์จริงและยังไม่ได้ชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ไม่จำเป็นต้องกำหนดประเด็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ ทั้งไม่จำเป็นต้องกำหนดประเด็นว่าจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์เป็นเงินมากน้อยเพียงใด เพราะจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องค่าจ้างว่าไม่ถูกต้องและความจริงเป็นจำนวนเท่าใด ส.เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยจ้างโจทก์ให้ทำงานตามฟ้องก็เสมือนจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานและนำสืบเรื่องตัวแทนเชิดได้ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น การนำสืบเรื่องตัวแทนเชิดไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการตั้งตัวแทนเชิด เพราะการเป็นตัวแทนเชิดนั้นมิได้เป็นโดยตั้งแต่งแสดงออกชัดแต่เป็นการตั้งแต่งโดยปริยาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทาสี ซ่อมแซม ศาลาประชาคมของสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ แล้วไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์ขอให้จำเลยชำระค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าไม่เคยว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานตามฟ้อง จำเลยไม่เคยค้างแรงงานโจทก์ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงวินิจฉัยฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องและคำให้การมีเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยจ้างโจทก์หรือไม่ และศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นโดยเห็นว่า คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์มากน้อยเพียงใดนั้น จำเลยยังไม่เห็นพ้องด้วย ศาลฎีกาพิจารณาฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยแล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานให้จำเลย เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จแล้ว จำเลยไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยให้การแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ ดังนั้นประเด็นที่โต้เถียงกันจึงมีว่าจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานตามฟ้องหรือไม่เท่านั้น คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าจ้างต่อโจทก์เท่าใด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์จริงจำเลยก็ต้องชำระค่าจ้างให้โจทก์ตามฟ้อง เมื่อจำเลยยังไม่ชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ได้ ศาลไม่จำเป็นต้องกำหนดประเด็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ดังที่จำเลยฎีกา ทั้งไม่จำต้องกำหนดประเด็นว่าจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์เป็นเงินมากน้อยเพียงใดอีกด้วยเพราะจำเลยให้การในข้อนี้แต่เพียงว่ารายการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยค้างค่าจ้างเป็นเท็จ เพราะจำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าจ้างให้โจทก์ จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องค่าจ้างว่าไม่ถูกต้อง และความจริงเป็นจำนวนเท่าใดดังนั้นฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาข้อ 2 ข.ของจำเลยเรื่องการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลนั้น เป็นฎีกาเรื่องดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
ส่วนฎีกาข้อ 2 ค. ของจำเลยที่ว่าศาลวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ฟ้องระบุชัดว่า จำเลยเป็นผู้จ้างโจทก์แต่ศาลกลับวินิจฉัยว่านายสมพงษ์ ชูพุทธ บุตรจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยเป็นผู้จ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วเชื่อว่า โจทก์ได้ทำงานให้จำเลยโจทก์ส่งคนไปทำงาน จำเลยก็ไม่ได้ห้ามปรามกลับยอมรับผลงานที่โจทก์ทำไป นายสมพงษ์บุตรจำเลยเป็นคนลงชื่อรับรู้ค่าแรงในการทำงานด้วย น่าเชื่อว่า นายสมพงษ์ซึ่งเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยเป็นคนสั่งจ้างโจทก์ทำงานดังกล่าว ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดชำระจ้างให้โจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อฟังว่านายสมพงษ์เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยจ้างโจทก์ให้ทำงานตามฟ้อง ก็เสมือนจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงบรรยายฟ้องว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานและนำสืบเรื่องตัวแทนเชิดได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ทั้งการนำสืบเรื่องตัวแทนเชิดนี้หาต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการตั้งตัวแทนเชิดดังที่จำเลยฎีกาไม่เพราะการเป็นตัวแทนเชิดนั้นมิได้เป็นโดยตั้งแต่งแสดงออกชัดแต่เป็นการตั้งแต่งโดยปริยาย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน