คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีปรากฏในชั้นอุทธรณ์ว่า โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้โจทก์จำนวน 1,500,000 บาท (ตามวงเงินที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันไว้) โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 พร้อมทั้งขอรับเอกสารเพื่อไปดำเนินการไถ่ถอนจำนองให้ต่อไป กรณีจึงมีผลเท่ากับโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาจำนองแล้ว โจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 อีกต่อไป และต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวหักออกจากจำนวนหนี้ 7,280,180.66 บาท ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย และมูลหนี้ดังกล่าวจำนวน 1,500,000 บาท เป็นมูลหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกกันได้ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้กู้กับจำเลยที่ 2 ผู้จำนอง คำพิพากษาจึงต้องมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ผู้จำนองซึ่งต้องรับผิดซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมที่มิได้อุทธรณ์ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๘,๐๒๒,๔๐๙.๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๗,๒๘๐,๑๘๐.๖๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๘,๐๒๒,๔๐๙.๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๒) เป็นต้นไปจนกว่าชำระชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ในวงเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นของต้นเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ ๑๙.๗๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๑ และดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ ๑๙.๗๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๑ อัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๒ อัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๒ ถึงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๒ อัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ ๒ ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๒๒๘ ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากขายทอดตลาดได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒ ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนกว่าจะครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดใช้แทนเท่าจำนวนหนี้ของจำเลยที่ ๒
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ อนุญาตจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์ สาขาสุรินทร์ ตามเอกสารหมาย จ. ๔ และทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมาย จ. ๖ ต่อมาในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๙ จำเลยได้เพิ่มวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจาก ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และตามที่ธนาคารโจทก์เป็นผู้กำหนด โดยขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๖ ต่อปี ส่วนเงื่อนไขและข้อตกลงอื่น ๆ ให้เป็นไปตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเดิม ปรากฏตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ. ๗
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง โดยมิได้กำหนดให้คิดจากต้นเงินจำนวนเท่าใดไว้ และศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืนเป็นการไม่ถูกต้อง กับปรากฏในชั้นอุทธรณ์ว่า โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๔ ว่า จำเลยที่ ๒ ชำระเงินให้โจทก์จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ ๒ ขอถอนคำแก้อุทธรณ์และถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ พร้อมทั้งขอรับเอกสารเพื่อไปดำเนินการไถ่ถอนจำนองให้ต่อไป กรณีจึงมีผลเท่ากับโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาจำนองแล้ว โจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยที่ ๒ อีกต่อไป และต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย และมูลหนี้ดังกล่าวจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นมูลหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกกันได้ระหว่างจำเลยที่ ๑ ผู้กู้กับจำเลยที่ ๒ ผู้จำนอง คำพิพากษาจึงต้องมีผลไปถึงจำเลยที่ ๒ ผู้จำนอง ซึ่งต้องรับผิดซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมที่มิได้อุทธรณ์ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) แต่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี ของต้นเงิน ๗,๒๘๐,๑๘๐.๖๖ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๒) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้นำเงินที่จำเลยที่ ๒ ชำระแก่โจทก์จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท มาหักชำระดอกเบี้ยและต้นเงินตามลำดับ และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.

Share