แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ตั้งสถานพยาบาลและผดุงครรภ์โดยโจทก์ในฐานะนางผดุงครรภ์ จัดการให้ทารกคลอดจากครรภ์มารดาโดยมีสินจ้างซึ่งฝ่ายหญิงมีครรภ์ต้องจ่ายให้โจทก์เมื่อทำคลอดแล้วนั้นเป็นการรับจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ซึ่งต้องจดทะเบียนการค้าและเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2504
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอาชีพเป็นนางพยาบาลและนางผดุงครรภ์ ตั้งสถานพยาบาลผดุงครรภ์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับบัญชาเหนือจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ในฐานะสรรพากรจังหวัดได้ประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ไปยังคณะกรรมการอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยจำเลยที่ 3, 4, 5พิจารณาแล้ว แจ้งให้โจทก์เสียภาษีตามที่จำเลยที่ 2 ประเมิน กับเสียเบี้ยปรับเพราะไม่จดทะเบียนการค้าและชำระภาษีต่อไปจนกว่าศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดนั้น ไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร ขอศาลพิพากษาว่า การทำสถานพยาบาลผดุงครรภ์ของโจทก์ไม่เป็นการค้าประเภทรับจ้างทำของ ประเภท 4(ฉ) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 และไม่ต้องจดทะเบียนการค้าเพื่อเสียภาษีให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่โจทก์ชำระไว้ต่อเจ้าหน้าที่สรรพากร 16,096.44 บาท กับเงินที่โจทก์ชำระไว้ต่อไปอีกทั้งหมดให้โจทก์ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า การที่จำเลยที่ 2 เรียกเก็บภาษีการค้ารวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับก็ดี คำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3-4-5 ในฐานะกรรมการอุทธรณ์ก็ดี ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 2 ผู้เดียวเป็นผู้เรียกเก็บภาษี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1-3-4-5 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีอาชีพเป็นนางพยาบาลและนางผดุงครรภ์ มีสถานพยาบาลและผดุงครรภ์ รับจ้างทำการพยาบาลผู้เจ็บป่วยและทำการคลอดบุตรให้หญิงมีครรภ์ ตั้งแต่กันยายน 2504 ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้าและจดทะเบียนการค้าจำเลยที่ 2 ได้ประเมินเรียกเก็บภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่มถึงวันฟ้อง 16,096.44 บาท โจทก์ชำระแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลรัษฎากร หมวด 4 ว่าด้วยภาษีการค้า ก่อนแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 ก็ได้กำหนดบัญชีภาษีการค้าประเภท 16 ไว้ว่า การทำสถานพยาบาลได้แก่การจัดที่พักหรืออาหารให้คนไข้รวมทั้งการรักษาพยาบาลและการให้ยา ให้เสียในอัตราร้อยละ 1 การหักค่าใช้จ่ายก็มี พระราชกฤษฎีกากำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา8 (12) ว่าการทำสถานพยาบาลรวมทั้งการรักษาพยาบาลและการจำหน่ายยาร้อยละ 85 ใช้บังคับอยู่ เป็นแต่ว่าพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 ไม่ได้ระบุคำว่า “สถานพยาบาล”ไว้ แต่ระบุไว้ในประเภทการค้า 4 ใน (ฉ) ว่าการรับจ้างทำของอย่างอื่น การทำงานของโจทก์ในฐานะที่เป็นนางผดุงครรภ์ เป็นผู้รับจ้างทำของอย่างอื่น การทำงานของโจทก์ในฐานะที่เป็นนางผดุงครรภ์เป็นผู้รับจ้างจัดการให้ทารกคลอดเสียจากครรภ์มารดา โดยมีสินจ้างซึ่งทางฝ่ายหญิงมีครรภ์ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายให้โจทก์เมื่อโจทก์ได้ทำคลอดให้แล้ว จึงมีลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ไม่แตกต่างอะไรกับการที่ทนายความรับจ้างว่าความให้ลูกความ ซึ่งศาลฎีกาเคยพิพากษาไว้แล้วว่า เป็นการรับจ้างทำของ และต้องอาศัยตัวบทกฎหมายว่าด้วยการรับจ้างทำของเป็นหลักบังคับเมื่อผู้ว่าจ้างไม่ชำระสินจ้าง แม้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 ไม่ได้แยกสถานพยาบาลไว้เป็นประเภทการค้าส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ก็ไม่ได้ยกเว้นไม่เก็บภาษีการค้าในการประกอบอาชีพที่โจทก์ทำนี้ แต่รวบรวมการค้าต่าง ๆ ไว้เป็นประเภท ๆ การรับจ้างทำของใดไม่เข้าตามรายการที่แยกไว้ ก็เข้าอยู่ในการรับจ้างทำของอย่างอื่น ในประเภท 4(ฉ) หาใช่กฎหมายยกเลิกการเก็บภาษีการค้า การทำสถานพยาบาลและผดุงครรภ์ไม่พิพากษายืน