คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2869/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ในที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว แต่เมื่อผู้ร้องไม่ได้จดทะเบียนสิทธิของตนไว้ ทั้งไม่ได้กล่าวอ้างว่าโจทก์รับจำนองที่พิพาทไว้โดยไม่สุจริตเพื่อตั้งประเด็นไว้ในคำร้อง จึงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้ได้มาซึ่งสิทธิจำนองที่พิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธินั้นแล้วโดยสุจริต โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองในสิทธิแห่งตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง ผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้เงินยืมและบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 429,123.79บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย ทรัพย์สินของจำเลยที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตราจองเลขที่ 306 หมู่ที่ 9 ตำบลเสือโฮก อำเภอเมืองชัยนาทจังหวัดชัยนาท ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์นั้น ผู้ร้องทั้งสองมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยในส่วนทางทิศตะวันตกเนื้อที่ประมาณ 2 งาน ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวและบ้านเลขที่ 136 ด้วยความสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบัน และผู้ร้องทั้งสองได้ล้อมรั้วแสดงอาณาเขตและแดนกรรมสิทธิ์ไว้อย่างชัดแจ้งทั้งสี่ด้านผู้ร้องทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ปล่อยหรือถอนการยึดทรัพย์ส่วนของผู้ร้องทั้งสองด้วย โจทก์ให้การว่า จำเลยได้นำที่ดินดังกล่าวมาจำนองแก่โจทก์ โจทก์จดทะเบียนจำนองกับจำเลยโดยสุจริตเปิดเผย และมีค่าตอบแทน ข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสองจะนำมาใช้ยันกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้ เพราะไม่ได้มีการจดทะเบียนระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาที่ว่าผู้ร้องทั้งสองจะขอให้ปล่อยการยึดเฉพาะที่พิพาทได้หรือไม่ ผู้ร้องทั้งสองอ้างตามคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและเป็นส่วนสัดติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีจนที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องทั้งสองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่พิพาท ตามข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสองดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่าเป็นข้ออ้างของการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังเป็นจริงได้ตามที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างก็เป็นเพียงการได้มาซึ่งสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น อันมิใช่การได้มาโดยทางนิติกรรม เมื่อผู้ร้องทั้งสองไม่ได้จดทะเบียนสิทธิของตนไว้ จึงไม่อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ ทั้งต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1299 วรรคสอง ส่วนปัญหาว่าโจทก์ผู้รับจำนองได้รับจำนองไว้โดยสุจริตหรือไม่นั้น ผู้ร้องทั้งสองไม่ได้กล่าวอ้างหรือยกประเด็นเพื่อการนำสืบไว้ในคำร้อง ทั้งที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่ฝ่ายตนที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานอันเป็นคุณแก่โจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์รับจำนองที่ดินตราจองเลขที่ 306 ไว้โดยสุจริตหรือไม่ดังนั้น ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองและคำให้การของโจทก์จึงฟังได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้ได้มาซึ่งสิทธิจำนองที่ดินตามตราจองเลขที่ 306 โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองในสิทธิแห่งตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินตราจองเลขที่ 306ส่วนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดไว้นั้นได้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share