แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ตายเข้ามาถามจำเลยถึงเรื่องที่จำเลยตีบุตรสาวของผู้ตาย แล้วผู้ตายได้ชกต่อยเตะ ทำร้ายร่างกายจำเลยทันที โดยจำเลยมิได้ต่อสู้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหง จำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยเข้าไปเอาอาวุธปืนในบ้านออกมายิงผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 91,32, 37 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 55, 72 ทวิ, 78ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 72, 91, 32, 37 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,55, 72 ทวิ, 78 ลงโทษฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุก 3 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วยเหตุบันดาลโทสะจำคุก 8 ปี รวมจำคุก 12 ปี ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 37 และเฉพาะข้อหาพาอาวุธปืน จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิวรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าวันเกิดเหตุจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายอิง นันทยักษ์ ผู้ตายถูกที่บริเวณศีรษะถึงแก่ความตายในวันเดียวกัน คงมีปัญหา ในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์มีนางนันทา ปานเฉลิม เป็นประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ก่อนที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพียงปากเดียว ได้ความจากนางนันทาว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ก่อนที่จะเกิดการยิงกันขึ้น ผู้ตายเดินออกมาจากบ้านเข้าไปตบหน้า เตะ และขึ้นเข่าจำเลย จำเลยพูดว่า”กู๋ ผมมีมือนะ” ซึ่งคำว่ากู๋หมายถึงผู้ตาย จำเลยไม่ได้ต่อสู้และไม่มีใครเข้าไปห้ามเพราะผู้ตายเป็นคนขี้โมโหมุทะลุ เมื่อจำเลยหลบเข้าไปในบ้าน ผู้ตายก็ยังถือไม้ไล่จำเลยเข้าไปอีก หลังจากนั้นพยานจึงได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด นอกจากนี้ นายสุคนธ์ สาธราลัยพยานโจทก์อีกปากหนึ่ง เบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9นาฬิกา พยานกำลังดูดทรทัศน์ที่บ้าน ได้ยินเสียงจำเลยร้องว่า”กู๋อย่า ๆ” ดังมาทางหน้าบ้าน พยานเปิดประตูออกไปดู เห็นผู้ตายกับจำเลยเดินผ่านหน้าบ้านไปโดยจำเลยเดินนำหน้าผู้ตายเดินตามหลังพยานกลับเข้าไปดูโทรทัศน์ต่อ สักครู่หนึ่งพยานได้ยินเสียงปืน 1 นัดจึงออกไปดู เห็นผู้ตายนอนอยู่มีโลหิตออกมาทางศีรษะ พยานกับพวกจึงพาผู้ตายส่งโรงพยาบาล พยานโจทก์นอกจากนี้ไม่มีผู้ใดรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุแต่อย่างใด ส่วนจำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุ 1 วันจำเลยสอนหนังสือบุตรสาวของผู้ตาย ขณะสอนจำเลยโมโหจึงตีบุตรผู้ตายเพราะสอนแล้วไม่จำ วันเกิดเหตุผู้ตายเข้ามาถามจำเลยว่าตีลูกผู้ตายทำไม เมื่อจำเลยตอบว่าสอนหนังสือแล้วไม่จำ ผู้ตายก็ใช้กำลังต่อยเตะจำเลยทันทีแล้วผู้ตายยังคว้าไม้ยาวประมาณ 1 แขนจะตีจำเลยด้วย จำเลยวิ่งเข้าไปในบ้านของผู้ตาย พบอาวุธปืน 1 กระบอกบนหลังตู้จึงเอาออกมาขู่ผู้ตายไม่ให้ตีจำเลย แต่ปืนลั่นขึ้นเองจำเลยจึงนำปืนไปทิ้งแล้วหลบหนีไป ดังนี้ ทางนำสืบของโจทก์จึงเจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยถูกผู้ตายทำร้ายร่างกายก่อนเนื่องจากผู้ตายโกรธที่จำเลยตีบุตรสาวผู้ตายก่อนเกิดเหตุ ที่โจทก์ฎีกาว่ามูลเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยเย้าแหย่บุตรสาวของผู้ตาย ผู้ตาย ไม่พอใจ จึงต่อว่าจำเลยซึ่งเป็นหลานอันเป็นเรื่องที่ผู้ตายกระทำได้โดยชอบ แต่จำเลยไม่ยอมเชื่อฟังและพูดจาโต้เถียงกับผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายบันดาลโทสะทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะนั้น พยานโจทก์คงมีนางละออ นันทยักษ์ ภริยาผู้ตายมาเบิกความว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2527 จำเลยไปที่บ้านพยานและเล่นกับเด็กหญิงบังอรบุตรสาวของผู้ตาย มีการเย้าแหย่กันแล้วจำเลยโมโหจึงตีเด็กหญิงบังอรและจับเด็กหญิงบังอรเหวี่ยงไปติดกับตู้ เด็กหญิงบังอรร้องไห้ วันนั้นผู้ตายไม่อยู่บ้านวันรุ่งขึ้นเมื่อผู้ตายกลับบ้านพยานจึงเล่าเรื่องดังกล่าวให้ฟังส่วนเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุนางละออไม่เห็นเนื่องจากไปทำงานที่บ้านของนางหรั่ง ทัศวิณ คำของนางละออจึงฟังได้เพียงว่า ผู้ตายทราบเรื่องที่จำเลยตีบุตรสาวของผู้ตายจากนางละออ เท่านั้น นอกจากนี้คำของนางนันทาพยานโจทก์ก็ได้ความเพียงว่า ผู้ตายเข้าไปทำร้ายร่างกายจำเลยโดยไม่มีการว่ากล่าวหรือโต้เถียงกันก่อน ส่วนที่พันตำรวจโทประสิทธิ์ ประสพเนตร พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า จากการสอบสวนพยานในคดีนี้ทราบว่าจำเลยมาอยู่บ้านพักของผู้ตาย วันเกิดเหตุผู้ตายว่ากล่าวสั่งสอนและเงื้อไม้จะตีจำเลย แต่ยังไม่ได้ตีจำเลย จำเลยก็วิ่งหนีไปเอาปืนมายิงผู้ตายนั้น ก็เป็นพยานบอกเล่า ทั้งไม่มีพยานหลักฐานของโจทก์อื่นใดมาสนับสนุน ดังนี้ พยานหลักฐานในคดีจึงฟังไม่ได้ว่ามูลเหตุเกิดขึ้น เนื่องจากผู้ตายต่อว่าจำเลยเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยตีบุตรสาวผู้ตายจำเลยไม่เชื่อฟังและเกิดโต้เถียงกัน ผู้ตายจึงบันดาลโทสะทำร้ายจำเลยดังที่โจทก์ฎีกา ข้อเท็จจริงคงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุผู้ตายเข้ามาถามจำเลยถึงเรื่องที่จำเลยตีบุตรสาวของผู้ตายแล้วผู้ตายได้ชกต่อย เตะ ทำร้ายร่างกายจำเลยทันทีโดยจำเลยมิได้ต่อสู้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยเข้าไปนำเอาอาวุธปืนออกมายิงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะนั้นชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน