แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอุทธรณ์ ไม่มีผลทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบกันมาเปลี่ยนแปลงเป็นประการอื่นแล้วศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวให้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
แม้คดีนี้กับคดีก่อนจะเป็นการกระทำอันเดียวกันและข้อหาอย่างเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยในคดีก่อนเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว แต่เมื่อมิใช่จำเลยคนเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษฐานประกอบการขนส่งไม่ประจำทางข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยประกอบการขนส่งส่วนบุคคล ย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อหานี้ตามที่โจทก์ฟ้องได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้กับจำเลยในคดีก่อนร่วมกันประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง โดยนำรถยนต์บรรทุกส่งของไปตามถนนโดยไม่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งและร่วมกันนำรถคันดังกล่าวซึ่งยังมิได้เสียภาษีประจำปีมาใช้ในการขนส่ง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓, ๗๑, ๑๒๖, ๑๔๘ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติขนส่งทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๒๖ ปรับ ๒๐,๐๐๐ บาทกระทงหนึ่ง ผิดมาตรา ๗๑ ประกอบมาตรา ๑๔๘ ปรับ ๒,๐๐๐ บาทอีกกระทงหนึ่งรวมปรับ ๒๒,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยซึ่งให้การในฐานะพยานในคดีที่ น.เป็นผู้ต้องหามาฟังลงโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖ และที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของ ว. พยานโจทก์ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน แต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้เพราะไม่เป็นสาระแก่คดี เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วย และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วฟังว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ของกลางและได้ใช้ให้ น. ขับไปในกิจการของจำเลยโดยมิได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งและมิได้เสียภาษีประจำปีโดยมิได้ฟังจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย และมิได้ฟังคำเบิกความของ ว. ในส่วนที่ได้รับคำบอกเล่าจาก น. เท่านั้น แต่ได้วินิจฉัยด้วยว่า ว. เป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์ขณะรถของกลางแล่นบนถนน และยังได้ฟังคำเบิกความของ ก. อดีตสามีจำเลยว่าได้ให้รถของกลางแก่จำเลยใช้สอยต่อมาภายหลังแยกทางกันแล้ว รวมทั้งฟังคำเบิกความของพนักงานสอบสวนประกอบด้วยว่า จำเลยรับว่าได้ครอบครองรถของกลางและใช้ให้ น. ขับในกิจการของจำเลย ดังนี้ ศาลอุทธรณ์หาจำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายทั้ง ๒ ข้อ ที่จำเลยอุทธรณ์อีกไม่ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีหรือไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปในทางอื่น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่โจทก์ฟ้อง น.เป็นจำเลยในการกระทำอันเดียวกัน และข้อหาอย่างเดียวกันกับคดีนี้และศาลพิพากษาลงโทษ น. คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว เห็นว่า เมื่อจำเลยมิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ น. ในคดีก่อนด้วยแล้วจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง โดยนำรถยนต์บรรทุกวัสดุก่อสร้างไปตามถนน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓, ๑๒๖ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยนำรถยนต์ไปใช้ในกิจการรับเหมาถมดินของจำเลย โดยจำเลยใช้ น.ขับรถคันดังกล่าวบรรทุกวัสดุก่อสร้างไปส่งยังสถานที่ของผู้ว่าจ้างจึงเป็นการกระทำที่ไม่อยู่ในความหมายแห่งคำว่า “การขนส่งไม่ประจำทาง” ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ซึ่งจะต้องเป็นการขนส่งเพื่อสินจ้าง จึงจะเป็นความผิด กรณีของจำเลยจะเป็นผิดก็แต่ในส่วนที่เป็น “การขนส่งส่วนบุคคล” ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อหานี้ได้ และเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓, ๑๒๖ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.