คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4999/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์ แต่การสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อเพื่อใช้ในการสร้างบ้านเรือนแถวให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำรายจ่ายค่าวัสดุนี้ไปหักจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จของโจทก์โดยตรงแม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นผู้สั่งซื้อจากโจทก์ แต่ตามพฤติการณ์แล้วจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อจำเลยที่ 1 นั่นเอง จำเลยที่ 2และที่ 3 จึงเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะมิได้ กล่าวในฟ้องเกี่ยวกับการเป็นตัวแทน โจทก์ก็นำสืบในเรื่องนี้ได้เพราะ เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงในรายละเอียดเนื่องจากในการติดต่อทำสัญญาซื้อขาย กันอาจทำโดยตนเองหรือมีตัวแทนไปติดต่อทำสัญญาซื้อขายแทนก็ได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์รวม 86 ครั้งเป็นเงิน 2,685,269.38 บาท เมื่อครบกำหนดชำระเงิน จำเลยทั้งสามไม่ยอมชำระโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,940,729.64 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,685,269.38 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ และไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินค่าคอนกรีตผสมเสร็จ จำเลยที่ 2 เคยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างบ้านเรือนแถวให้จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2 ผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 2,685,269.38 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดชำระเงินแต่ละครั้งถึงวันฟ้องไม่เกิน 255,460.26 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของงานก่อสร้างโครงการบูรพาซิตี้ เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างงานในโครงการของจำเลยที่ 1 คอนกรีตผสมเสร็จตามฟ้องของโจทก์ได้รับการสั่งซื้อมาใช้ในโรงงานก่อสร้างของจำเลยที่ 1 มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินค่าคอนกรีตผสมเสร็จตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ นายสุมิตร ต่อศรีเจริญ พยานโจทก์เบิกความว่า หลังจากนายอมรชัยจรีรัตนประกร ให้นายสุมิตรไปติดต่อขายสินค้ากับจำเลยที่ 3 เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าแล้วจำเลยที่ 3 แจ้งให้โจทก์ออกใบเสร็จรับเงินในนามของจำเลยที่ 1 ซึ่งนายกฤษดาวรญาณโกศล ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงินของโจทก์เบิกความว่า ฝ่ายขายแจ้งให้นายกฤษดาออกใบวางบิลเพื่อเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เอกสารออกในนามของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ เมื่อพิจารณาใบเสร็จรับเงินเอกสารหมายจ.6 ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2536 ถึงวันที่ 8 กันยายน 2536 ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ว่าเป็นลูกค้าพร้อมที่อยู่ด้วย ทั้งใบวางบิลตามเอกสารหมาย จ.11 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม2536 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2536 ก็ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับบิลของโจทก์เพื่อตรวจสอบและพร้อมจะชำระเงินให้แก่โจทก์เช่นกัน นอกจากนี้ในการสั่งซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2536 เป็นต้นไป ใบส่งสินค้ายังระบุชื่อจำเลยที่ 1 โดยมีชื่อจำเลยที่ 2อยู่ในวงเล็บ สินค้าส่งไปที่โครงการบูรพาซิตี้อันเป็นโครงการของจำเลยที่ 1 เห็นว่าการออกใบเสร็จรับเงินและใบวางบิลเพื่อขอรับชำระหนี้ทุกฉบับออกในนามของจำเลยที่ 1ทั้งสิ้น พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้ทำการก่อสร้างจึงควรให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ชำระค่าคอนกรีตผสมเสร็จนั้น เมื่อพิเคราะห์หนังสือสัญญาก่อสร้างบ้านเรือนแถวตามเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 4 ซึ่งมีข้อความว่า “ผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ทุกชนิด ตลอดจนช่างฝีมือดีมาทำงาน วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างบางชนิดผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้จัดซื้อหามาให้ผู้รับจ้าง ซึ่งค่าวัสดุที่ผู้ว่าจ้างหามาให้นี้จะหักจากการจ่ายค่างวดตามข้อ 2 และวัสดุที่ผู้ว่าจ้างจัดหามาให้หรือวัสดุอุปกรณ์อื่นที่ผู้รับจ้างจัดหามา ห้ามผู้รับจ้างเคลื่อนย้ายหรือนำออกนอกบริเวณของโครงการเมืองใหม่บางวัวโดยเด็ดขาดเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ว่าจ้าง”แล้วเห็นว่า หากจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 สั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างโครงการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชอบเอง เหตุใดใบเสร็จรับเงินทุกฉบับจึงระบุชื่อจำเลยที่ 1 ทั้งที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการในรูปของบริษัทหากใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย จ.6 ออกในนามของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ย่อมนำไปหักค่าใช้จ่ายของบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ แต่กลับเป็นว่า ผู้ที่นำมาหักค่าใช้จ่ายได้เป็นจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเชื่อว่าการสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3ได้สั่งซื้อเพื่อใช้ในการสร้างบ้านเรือนแถวให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้นำรายจ่ายค่าวัสดุไปหักจากบัญชีก็คือจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการสั่งซื้อและใช้คอนกรีตผสมเสร็จของโจทก์โดยตรง จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระค่าคอนกรีตผสมเสร็จตามฟ้องให้แก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการสุดท้ายว่า การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์ แต่ศาลล่างทั้งสองฟังว่า จำเลยที่ 1เชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนในการสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อเพื่อใช้ในการสร้างบ้านเรือนแถวให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 นำรายจ่ายค่าวัสดุนี้ไปหักจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จของโจทก์โดยตรงแม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นผู้สั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์แต่ตามพฤติการณ์แล้วจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อจำเลยที่ 1 นั่นเอง จำเลยที่ 2และที่ 3 จึงเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะมิได้กล่าวในฟ้องเกี่ยวกับการเป็นตัวการตัวแทน โจทก์ก็นำสืบในเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงในรายละเอียดเนื่องจากในการติดต่อทำสัญญาซื้อขายกันอาจทำโดยตนเองหรือมีตัวแทนไปติดต่อทำสัญญาซื้อขายแทนก็ได้ และศาลวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share